ประสบการณ์จริงจาก วิตกกังวล ซึมเศร้า แพนิค และหมดไฟ
หนูคิดว่าหนูเป็นเด็กมีปัญหาทางอารมณ์
แต่กลายเป็นว่า
อารมณ์ของหนูสำคัญนะ
ทุกการเดินทางมีจุดเริ่มต้น จุดหมายปลายทาง และแผนที่
เริ่มจากอยากเข้าใจโรคที่ตัวเองเป็นจะได้หาย เกือบสองปีที่แล้ว จู่ ๆ กลับมามีอาการคล้าย ๆ แพนิค ไปหาหมอแต่คราวนี้หมอส่งไปหาคุณหมอหู ทานยาแต่ไม่ดีขึ้น ก็คิดว่ารู้แล้วว่าเป็นอะไรจึงไปหาคุรหมอจิตแพทย์ หลังจากที่เมื่อกว่าสิบปีก่อน ไม่รู้อะไรเลย และถูกวินิจฉัยผิด หมอคิดว่าหนูเป็นโรคหัวใจ ให้ชื่อมายาวมากว่าเป็นโรควูบ (syncope) สามเดือนผ่านไปก็ไม่ดีขึ้น เลยไปหาความคิดเห็นที่สอง จนมาเจอหมอตัวจริงรักษาถูกอาการคือวิตกกังวลและซึมเศร้าจนเป็นแพนิค
บนเส้นทางที่จ่ายราคาแพงนี้ อยากเขียนเพื่อย้อนมอง ทบทวน สิ่งที่เรียนรู้ เก็บตก ระหว่างทาง จากวันนั้นถึงวันนี้
การเดินทางครั้งนี้ช่วยให้หนูค้นพบหลายสิ่งหลายอย่าง ร่วมเดินทางผจญภัยสุดขอบโลกกับหนูเลยค่ะ
เข้าใจว่ามันเป็นภาวะ
วันหนึ่งระหว่างคุยกับคุณหมอจิตแพทย์ที่น่ารัก “หนูอยากหาย ต้องทำยังไงบ้างค่ะ” หนูจะเป็นเด็กดี เชื่อฟัง ทำตาม… คุณหมอฟังอยู่นานจนสุดท้ายพูดนุ่ม ๆ ว่า “มันเป็นภาวะค่ะ” เลยกลับมาตามล่าหาความจริง
ภาวะอารมณ์ มีขึ้น-ลงได้ มีสองด้าน ทั้งบวกและลบ ไม่ใช่ต้องหายขาดแบบโรคอื่น ๆ แต่คล้าย ๆ คนขาหักมีทั้งรักษา บำบัด ฟื้นฟู จนกว่าจะกลับมาปกติ
ปัญหาภาวะอารมณ์เกิดขึ้นได้กับทุกคน
ในบางช่วงของชีวิต ขึ้นอยู่กับว่าชีวิตเราเป็นอย่างไร
พอหนูเข้าใจแล้ว ทำให้หนูรู้สึกโล่งใจ ลดแรงกดดันตัวเอง ไม่พยายามเกินไป
รู้จักและเข้าใจอารมณ์กันสักนิด
อารมณ์มีชื่อเสียงไม่ค่อยดีนัก ตอนเด็กจำได้ว่าได้ยินแต่คำว่า “อย่าร้องไห้ อายคน เงียบนะ” หนูเลยไม่ชอบร้องไห้ให้ใครเห็น ไม่กล้าแสดงออกทางอารมณ์ แต่แอบเก็บไว้ในใจคนเดียว
แต่ว่าอารมณ์สำคัญนะ เปรียบเหมือนไฟกระพริบเตือน หน้ารถที่ช่วยให้เรารู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับโลกข้างในของเรา (inner world) และแสดงออกเป็นอารมณ์ความรู้สึก คำพูด การกระทำสู่ โลกข้างนอกรอบตัวเรา (outer world)
แต่ว่าเวลาที่ ไฟกระพริบเตือน หนูก็มักจะทำแบบนี้
1. ช่างเถอะหนูไม่แคร์ อย่าใส่ใจเอามาเป็นอารมณ์ เดินหน้าต่อไป แต่ที่จริงเป็นการ เก็บกดไว้
2. จู่ ๆ เป็นอะไรไม่รู้ ควัน (อารมณ์) พุ่ง ท่วมท้นแบบระเบิดลง หรือเบรคแตกขาดการยั้งคิด
3. เปิดฝากระโปรงรถ หรือเปิดใจที่จะค้นหา ถามตัวเองว่าทำไมถึงรู้สึกแบบนั้น เรียกว่า รับรู้และยอมรับความรู้สึกที่แท้จริง แล้วจะค่อย ๆ มีสติแก้ปมเหตุเบื้องหลังได้
หนูเป็นคนขับรถแบบโหมดที่หนึ่ง พอท่วมท้นมาก ๆ ก็กลายเป็นโหมดที่สอง โหมดที่สามนี่ไม่รู้จักเท่าไร 555
เข้าใจเส้นทางการรักษาฟื้นฟู
เพราะเราแต่ละคนแตกต่างกัน เส้นทางการรักษาจะแตกต่างกันไปตามแต่ละคน แต่ก็มีขั้นตอนที่ทุกคนจะต้องเดินผ่าน แต่อาจจะไม่ใช่แบบ 1 2 3 เป๊ะ ๆ บางคนก็แบบเส้นตรง หายเลย หายเร็ว บางคนก็ออกนอกเส้นทาง และเจอทางตัน หรือกลับมาที่จุดเดิมได้ รู้แล้วอย่าท้อใจแบบหนูนะ เคยไม่เข้าใจแล้ว เฮ้อ เบื่อตัวเองจังเลย
ตัวจุดประกายของหนูเริ่มจากสิ่งที่อยากจะเป็นในอนาคต คือ หายดี ไม่เครียด ไม่แพนิค และอีกสารพัด ไม่ ไม่ ไม่… แล้วก็ลองสารพัดวิธี… เปลี่ยนความคิด เปลี่ยนอารมณ์ พลิกชีวิต พยายามปรับปรุงแก้ไขตัวเอง แต่นั่นกลายเป็นว่า หนูไม่ยอมรับ ไม่ชอบตัวเอง ตำหนิตัวเองในใจ โดยไม่รู้ตัวมันกลายเป็นความขัดแย้งภายในที่บล็อกหนูไว้
เมื่อหนูรู้สึกแย่ หนุก็จะคิดแย่ ๆ
มองตัวเอง มองโลกรอบตัว ผ่านเลนส์สีดำ
แล้วก็จบลงที่ท่วมท้น รู้สึกแย่กว่าเดิม
แค่เริ่มต้นก็เหนื่อยแล้ว ระหว่างทางกลับพบ ความจริงที่ขัดแย้งกัน แต่พลิกมุมมองใหม่ให้หนู
จุดที่ยืนอยู่นั่นแหละ
เป็น
จุดเริ่มต้นของการรักษาฟื้นฟูสภาพจิตใจ
4 ยอมรับตัวเอง ตั้งแต่ยังไม่หายดีนั่นแหละ
ตัวจุดพลังที่แท้จริงคือ การยอมรับตัวเองซึ่งนำไปสู่การรักตัวเอง เป็นตัวต่อที่หายไปแต่เป็นชิ้นที่สำคัญที่สุด
ความรักทนได้ทุกอย่าง เชื่ออยู่เสมอ
มีความหวัง และ ความทรหดอดทนอยู่เสมอ
ถ้าจะวิ่งแข่งระยะสั้นก็ต้องเตรียมตัวอีกแบบ วิ่งทางไกลก็อีกแบบ ใช่แล้วบนเส้นทางการฟื้นฟูแป็นการเดินทางไกลที่อาจยาวนาน ต้องใช้ความรัก ทรหด อดทนนานกับตัวเองเป็นพลังขับเคลื่อนตั้งแต่อยู่ที่จุดสตาร์ท และระหว่างทาง พอเจออุปสรรค ปัญหา ก็ความรัก (ตัวเอง) นี่แหละที่เอาชนะ ก้าวข้ามให้เดินหน้าต่อไปยังจุดหมายปลายทาง
ยอมรับ บุคลิก ลักษณะนิสัย อารมณ์ ความนึกคิด ความชอบส่วนตัว แล้วทำให้หนูอดทน ใจเย็นในความเป็นหนู รู้ว่าอะไร work ไม่ work สำหรับหนู
ช่วยให้หนูค้นพบเส้นทางการรักษาฟื้นฟูในแบบที่เหมาะกับตัวหนูเอง
รับรู้ ยอมรับโลกภายในใจ
ฝึกลมหายใจแห่งความจริง (ใจ) กับตัวเอง
แทนที่จะตัดสิน ตำหนิ สงสัย พยายามนู่นนี่
แค่ยอมรับ
มันยากที่ความคิดจะโปร่งใส หรือคิดเป็นระบบได้ถ้ามีเสียงตำหนิตนเองภายในใจ
เมื่อหนูหยุดรับฟังเสียงร่ำร้องจากหัวใจลึก ๆ ของหนู ที่ บอกว่าหนูรู้สึกยุ่งยากใจอย่างไร แล้วหยุดสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ยอมรับอารมณ์ ความรู้สึกนึกคิดของตัวเอง อย่างที่เป็น แล้วบอกตัวเองว่า
“It’s ok that you are not ok.”
ไม่เป็นไรนะ ที่ตอนนี้ไม่โอเค
มันโอเคนะที่จะรู้สึกแพนิค ตกใจ กลัว…
มันโอเคที่ตอนนี้ชีวิตมันไม่โอเคแทบจะทุกเรื่องเลย
คำพูดและทัศนคติแบบนี้จะช่วยปลอบโยน ผ่อนคลายความสับสนวุ่นวายใจ
เมื่อหนูรู้สึกดี มองตัวเองในแง่ดี มองโลกรอบตัวผ่านเลนส์สีชมพู
หนูก็จะสามารถรับมือกับความรู้สึกและคิดแก้ปัญหาได้เอง
วันนี้หนูสนุกกับเส้นทางนี้ กลายเป็นการผจญภัยกับสองโลกของหนู โลกภายในของหัวใจ อารมณ์ ความรู้สึก ความคิด กับ โลกภายนอกที่หนูแสดงออกมา
เพื่อนร่วมทางสำคัญนะ
บนเส้นทางนี้ เรามักจะรู้สึกโดดเดี่ยวเดียวดาย ระหว่างทางหนูพบว่า เพื่อนร่วมทางที่ดีที่สุดคือหนูเอง หนูเริ่มสนิทใกล้ชิดกับตัวเอง ไม่ขัดแย้งภายในตัวเอง แล้วหนูก็พบว่าหนูกล้าที่จะเปิดหัวใจให้กับคนรอบข้าง โลกรอบตัวด้วย พอไม่มีความขัดแย้งกับตัวเอง ก็ขัดแย้งกับคนรอบข้างน้อยลง รัก อดทน ยอมรับตัวเองได้แม้ในโมเมนท์ที่แย่ที่สุด ช่วยให้หนูอดทน ยอมรับคนอื่นได้ดีขึ้นไปเอง