วันหนึ่งระหว่างคุยกับคุณหมอจิตแพทย์ผู้น่ารักของฉัน ฉันบอกคุณหมอว่า “ไม่ชอบเลยเวลาที่เครียด วิตกกังวล หงุดหงิด หรือ ท่วมท้น อยากจะหาย ไม่อยากเป็นแบบนี้เลย ต้องทำยังไงบ้างค่ะ หนูจะเชื่อฟัง ทำตามทุกอย่างเลย” คุณหมอนิ่งไปสักพักแล้วถามว่า “คุณจอยคิดว่าพ่อ (พระเจ้าพระบิดา) ยังรักคุณจอยมั้ยเวลาที่คุณจอยเป็นแบบนั้น” ฉันนิ่งไปสักพัก แล้วอึ้งไปกับคำตอบที่พระเจ้าพูดกับฉัน
พ่อชอบสอนฉันผ่านเด็ก ๆ หนูดีเป็นเด็กแถวบ้านที่ชอบมาเล่นกับฉัน วันหนึ่งพ่อของหนูดีมาตามเธอกลับบ้านไปกินข้าว เธองอแงไม่อยากกลับ บ่นกับพ่อว่าหนูไม่อยากกลับๆๆ แต่คุณพ่อของหนูดีนั้นไม่ว่าอะไรเลย ยืน อดทน รออย่างใจเย็นมาก ๆ ส่วนฉันก็พยายามหาวิธีปลอบใจเด็กน้อย จนในที่สุดหนูดีก็อารมณ์เย็นลง และยอมกลับไปโดยดี
พ่อบอกฉันว่ารักของพ่อนั้น อดทนนาน ใจเย็น อ่อนโยน แบบนั้นแหละแม้ในยามที่ฉันมีปัญหาสุขภาพจิตใจ พ่อก็ยังรักฉันเสมอ จำได้มั้ยว่า เวลาที่หลานตัวเล็กของฉันงอแงเพราะหิว ง่วง เปียก หรือ ฟันขึ้น ฉันทำอย่างไร ใจเย็น กล่อมจนหลานหลับไป นั่นแหละภาพที่พระเจ้ารักฉันแบบนั้นเหมือนกัน แม้ฉันจะโตแล้วก็ตาม
“แม่ปลอบโยนลูกน้อยอย่างไร เราก็จะปลอบโยนเจ้าแบบนั้น
เมื่อทารกนอนดูดนมจากอกแม่ จนอิ่มอกอิ่มใจ สงบ หายงอแง แล้วผล็อยหลับไปพักนิ่งในอ้อมกอดของแม่จนจิตใจสงบ ในอ้อมกอดแม่” – สดุดี 131:2 และ อิสยาห์ 66:13
ฉันร้องไห้หนักขึ้น เพราะ ตลอดเส้นทางชีวิตที่ผ่านมาของฉัน ฉันมักจะตำหนิและโทษตัวเองเสมอว่าตัวเองไม่ดี อารมณ์ร้อน ขี้หงุดหงิด ขี้น้อยใจ เครียด วิตกกังวลง่าย หงุนหันพลันแล่น เลยทำให้ตัวเองเป็นแบบนี้ เสียงกล่าวโทษตัวเองนั้นอยู่ลึกในใจและดังในหัวฉันโดยไม่รู้ตัว
พระเจ้าให้ฉันนึกถึงวิดีโอที่เคยดูในสัมนาหัวใจพระบิดา ภาพของพ่อที่วิ่งเข้ามาเคียงข้าง พยุงลูกที่ผิดหวัง เสียใจ บนเส้นทางชีวิตอันยาวไกล พ่อจะเข้ามาปลอบใจ ไม่ใช่ ดุว่า หรือ ตำหนิ หรือฉันต้องดีพร้อม เปลี่ยนแปลงตัวเองก่อนพ่อจึงรัก แต่พ่อจะอยู่เคียงข้างและพาฉันเดินไปด้วยกันบนเส้นทางเยียวยาสุขภาพจิตใจครั้งนี้ของฉันแล้วฉันก็ได้ยินเสียง “พ่อถามฉันว่าแล้วฉันรักตัวเองแบบนั้นได้มั้ยล่ะเวลาที่ฉันรู้สึกเครียด กังวล หงุดหงิด กลัว เศร้า เสียใจ ผิดหวัง….”
ฉันสัมผัสความรักที่พ่อคนนี้มีให้ฉันผ่านคำอธิษฐานของคุณหมอที่พูดปลอบใจ “เด็กน้อยคนนั้น” และชม ให้กำลังใจ “เด็กคนนั้น” ที่โตมาโดยไม่รู้จักพ่อคนนี้ ก่อนจากกัน คุณหมอบอกฉันว่า พ่อรักฉัน และอยากให้ฉันเลี้ยงดู ทะนุถนอมหัวใจเด็กน้อยคนนั้นให้ดีด้วยได้มั้ย ฉันตอบพ่อไปร้องไห้สะอื้นไปว่า “ได้ค่ะ”
วันนั้นหัวใจของฉันโล่งอก เบาสบาย และฉันเลิกกดดันตัวเองให้หายดี ให้ไม่เครียด จากวันนั้น สุขภาพจิตใจของฉันก็ดีขึ้น เพราะไม่มีแรงกดดัน กล่าวโทษ ขัดแย้งในใจ และทุกครั้งที่ฉันรู้สึกกังวล เครียด หงุดหงิด พ่อสอนให้ฉันปลอบใจตัวเองด้วยคำพูดที่อ่อนโยนเพราะ
คำตอบอ่อนโยนทำให้ความโกรธสงบลง อารมณ์เย็นลง
แต่คำพูดทิ่มแทง รุนแรงก่อให้เกิดความโกรธ
สุภาษิต 15:1
เดี๋ยวนี้เวลาที่ฉันอารมณ์ไม่ดี เครียด กังวล ฉันเริ่มพูดอ่อนโยนกับตัวเอง ให้กำลังใจตัวเอง ชมตัวเอง
“ไม่เป็นไรนะจอย เดี๋ยวจะดีขึ้น
ไม่เป็นไรนะจอย พักสักครู่ เดี่ยวจะดีขึ้น”
อยากหายดี ต้องรักและยอมรับตัวเอง อย่ากดดัน ตำหนิตัวเอง
รู้มั้ยว่าคุณมีคุณค่าในสายตาของพ่อคนนี้ พ่อไม่เคยดูถูกความอ่อนแอ ความผิดพลาด ความเจ็บป่วย ของคุณ มีแต่อยากจะวิ่งเข้ามารัก ปลอบใจ ช่วยเหลือคุณ พยุงให้คุณลุกขึ้นมาแล้วเดินต่อไปข้างหน้าด้วยกัน พลังแห่งความรักของพ่อทำให้ฉันลุกขึ้นมารักและดูแล ทะนุถนอมจิตใจของเด็กคนนั้นด้วยความอ่อนโยน
ขอพระเจ้าเยียวยา ปลอบใจ ฟื้นฟูหัวใจทุกดวง และขอความรักของพระเจ้าสัมผัสหัวใจเราจนเรารักและมองตัวเองแบบที่พ่อคนนี้มองเรา “ลูกสุดที่รัก ลูกคนโปรดที่พ่อพอใจ”
หากคุณรู้สึกแย่ ดูวิดีโอนี้นะ
บนเส้นทางชีวิตที่ยาวไกล หากคุณกำลังรู้สึกแย่ ๆ กับ ชีวิต รู้สึกแย่ ๆ กับตัวเอง รู้สึกแย่ ๆ กับสถานการณ์ของตัวเอง
ดูวิดีโอนี้ https://www.youtube.com/watch?v=r-Yn4b9iClE
แล้วนึกภาพพระเจ้าพระบิดา วิ่งเข้ามาหาคุณ พยุงคุณ ปลอบใจคุณ เหมือนที่พระเจ้ารักษาหัวใจฉันด้วยความรักของพระองค์
ด้วยรักและห่วงใย
จาก (ใจ) จอย