เข้าใจรากลึก ๆ ของความวิตกกังวล

บนเส้นทางการต่อสู้กับปัญหาสุขภาพจิตใจ ความวิตกกังวล เครียด กลัวและแพนิคของฉันนั้น ฉันได้ค้นพบรากลึก ๆ ของปัญหาต่าง ๆ ที่สะสมจนกลายเป็นปัญหาสุขภาพจิตใจ

วันหนึ่งฉันเล่าให้เพื่อนที่เป็นโค้ชฟังว่าเพิ่งไปทำกิจกรรมวาเลนไทน์กับเด็ก ๆ มา ทุกคนแฮปปี้หมด แต่ฉันกลับไม่แฮปปี้เท่าไร ที่จริงแล้วทุกครั้งที่ฉันทำงาน หรือทำอะไรก็ตาม ฉันมักจะรู้สึกกระวนกระวายใจ เครียด  กลัวว่าจะทำงานเสร็จไม่ทัน กลัวจะทำผิดพลาด กลัวว่าจะทำได้ไม่ดี ฉันเลยพยายามหนักมาก ใช้เวลาในการทำงานจนดึกดื่นเพื่อให้งานออกมาดี ฟังดูแล้วก็เป็นคุณสมบัติที่ดี นะ work hard แต่วันนั้นโค้ช แค่ถามว่าทำไม เลยเปิดประเด็นให้ค้นหา ถามตัวเองว่านั่นสิ ทำไม อะไรที่ทำให้ฉันต้องพยายามหนักมากไปทุกเรื่อง ทั้งการทำงาน และแม้แต่จัดปาร์ตี้วาเลนไทน์

ตั้งคำถามกับตัวเอง

สาเหตุลึก ๆ ที่เป็นตัวผลักดันให้ฉันทำงานหนัก เพราะลึกลงไปในใจ ฉันคิดว่าฉันยังไม่ดีพอ ยังไม่เก่งพอ เลยต้องพยายามมากขึ้น ทำมากขึ้น เพื่อพิสูจน์ว่าตัวเองดีพอ เก่งพอ นั่นคือ ความรู้สึกว่า “ยังไม่….พอ” หรือที่เรียกว่า ความละอายใจ (SHAME) นั่นเอง  ความรู้สึกนี้ยังเป็นแรงกดดันให้ฉันกลายเป็นคนบ้างาน (workaholics) บ้าความสมบูรณ์แบบ (perfectionist) ที่ต่อมากลายเป็น หมดไฟ (burnout) จนทำให้ฉันไม่สบายจากความเครียด จนกลายเป็นปัญหาสุขภาพจิตใจ

ความละอายใจ (SHAME) ทำงานอย่างไรในชีวิตคุณ

ความละอายใจเป็นความรู้สึกลึก ๆ ในหัวใจว่าคุณยังไม่ดีพอ หรือ มีอะไรผิดปกติ ไม่ใช่แค่ ฉันทำผิดพลาด แต่ ฉันเป็นความผิดพลาด

ได้ยินแล้วรู้สึกอย่างไร มันเหนื่อยนะ ที่ลึก ๆ ในใจ ความรู้สึกนี้ เป็นเหมือนแรงต้าน แรงกด ที่เพิ่มความกดดัน เครียด พร้อมเสียงกระซิบที่คอยบอกคุณว่า …

ยังไม่ดีพอ…  ยังไม่เก่งพอ…  ยังไม่สวยพอ…  ยังไม่เร็วพอ… ยังขาด….

คุณเคยรู้สึกแบบนี้มั้ย

  • ต้องทำงานหนักมากขึ้น พยายามมากขึ้น เพื่อที่จะพิสูจน์ว่าตัวเองเก่งพอ มีความสามารถมากพอ
  • รู้สึกดีเวลาที่ทำอะไรให้คนอื่น ชอบช่วยคนอื่น แต่ถ้าใครทำอะไรดี ๆ ให้เรากลับรู้สึกไม่สบายใจ ไม่สมควร
  • ถ้าไม่ได้ทำอะไร หรือมีอะไรทำจะรู้สึกว่าตัวเองไร้คุณค่า ไร้ประโยชน์ ไม่ productive  รู้สึกผิดและแย่กับตัวเอง

1. ยังไม่ดีพอ เบื้องหลัง การบ้างาน ความสมบูรณ์แบบ และ หมดไฟ

ยังไม่ดีพอจะทำให้เรา ซ่อนตัวเอง ภายใต้หน้ากากของคำว่า งาน งาน งาน กิจกรรม กิจกรรม เพราะคุณค่าและตัวตนของเราอยู่กับงานและการกระทำ เราจึงกลายเป็นมนุษย์งาน ทั้งที่บ้าน และชีวิตส่วนตัว

2. Burnout หมดไฟ หมดแรง ท้อใจ

เมื่ออัตลักษณ์ของเราขึ้นอยู่กับ งาน ในที่ทำงานก็ทำงานหนัก  ส่วนชีวิตส่วนตัวก็พยายามที่จะเป็น ลูกที่ดีของพ่อแม่ เป็น แม่ที่ดีพอ เป็นผู้หญิงเก่ง เป็นเพื่อนที่ดีพอ พี่สาวที่ดีพอ แต่ก็ยังไม่เคยรู้สึกว่าดีพอ

ผู้หญิงยุคใหม่อย่างฉันก็จะเน้น ทำ ทำ ทำ บริการ ดูแล เอาใจใส่  และ ให้ ให้ ให้ เพื่อจะได้รู้สึกว่ามีคุณค่า จนเหนื่อย หงุดหงิดง่าย ขี้บ่น แล้วในที่สุดก็หมดแรง หมดไฟ แบบที่ฉันเป็นเมื่อ 20 ปีก่อน และกลับมามีอาการอีกครั้งเมื่อ 4 ปีก่อน

3. ความละอายใจกับปัญหาสุขภาพจิต

คำพูดสั้น ๆ อย่าร้องไห้นะ อายคน เด็กผู้หญิง อย่าโกรธ อย่าโมโหนะ ไม่น่ารัก เมื่อถูกห้าม ไม่อนุญาตให้แสดงความรู้สึก เด็กก็จะคิดว่า การแสดงความรู้สึกไม่ดี ไม่ควรทำ จึงพยายามหยุดร้อง และเก็บมันไว้ในใจ แต่กลับเป็นเสียงสะอื้นในใจ เก็บความอัดอั้น ไว้ในใจ กลายเป็นกำแพงปิดกั้นความรู้สึก พอมีอารมณ์เดือดปุด ๆ ในใจ ก็รีบปิดฝา (อารมณ์) ไว้แน่น คล้ายหม้ออัดความดันสูง พอมีอะไรมากระตุ้นหรือสะกิดใจก็ ระเบิดอารมณ์ โกรธ เศร้า ท่วมท้น จนกลายเป็นปัญหาสุขภาพที่น่ากลัว หรืออีกขั้วหนึ่งกลายเป็นคนไร้อารมณ์ ไม่สามารถใกล้ชิดสนิทสนมกับครอบครัว ภรรยา หรือ ลูก ๆ ได้

ในหนังสือ The Psychology of Shame, Gershen Kaufman แสดงให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่าง  ความละอายใจ กับปัญหาการเสพติด การกินผิดปกติ (กินมากไปหรือน้อยไป) ปัญหาไม่ชอบรูปร่างหน้าตาตัวเอง เซ็กซ์ รวมทั้งปัญหาสุขภาพจิต ซึมเศร้า วิตกกังวล และปัญหาบุคลิกภาพ

ผลของคำพูดหรือทัศนคติที่คิดว่า การแสดงอารมณ์ไม่ดี จะทำให้

  • คุณรู้สึกละอายใจ และรู้สึกผิด หรือไม่ดีกับความรู้สึกของตัวเอง
  • คุณจะไม่ชอบตัวเองเวลาที่มีหรือแสดงอารมณ์โกรธ โมโห หงุดหงิด เสียใจ ร้องไห้ให้คนอื่นเห็นเพราะคิดว่า ทำให้คุณเป็นคนอ่อนแอ ไม่เข้มแข็ง ไม่เป็นมืออาชีพ
  • ขโมยเสรีภาพ ทำให้คุณไม่สามารถแสดงความรู้สึก อารมณ์ ความนึกคิดที่แท้จริงออกมาได้ อย่างเป็นอิสระ
  • ขโมยความสัมพันธ์ที่ดี ความสามารถในการรับความรัก ใกล้ชิด สนิทสนมในระดับอารมณ์ได้
  • เมื่อคุณปิดต่อมอารมณ์ด้านลบ เพื่อที่จะไม่แสดงอารมณ์ คุณก็ปิดต่อมอารมณ์บวกไปโดยไม่รู้ตัว มิน่าล่ะ ความสุขกับเสียงหัวเราะก็หายไปด้วย เมื่อไม่ยินร้าย ก็ไม่ยินดี หัวใจเริ่มชาด้านจนไร้ความรู้สึก
  • ไม่เคารพ ไม่เชื่อความรู้สึกตัวเอง ไม่จริงใจกับความรู้สึกของตัวเอง  จนขาดการเชื่อมต่อกับความรู้สึกของตัวเอง กลายเป็น เฉย ๆ สบายดี โอเค งั้น ๆ ไม่มีอะไร

4. ความละอายใจ ซ้ำเติมให้รู้สึกแย่ แทนที่จะเห็นใจ เมตตา

  • อายที่มีปัญหาสุขภาพจิตใจ ปัญหาครอบครัว ปัญหาชีวิต

 “ไม่ชอบเลยที่ตอนนี้เศร้า เบื่อ เครียด”

“แล้วก็ยิ่งหงุดหงิด เครียด

เลย วนเวียนอยู่ในวงจรที่ทำให้ท้อใจ”

เส้นทางสู่เสรีภาพ และการเยียวยา

ความรู้สึกของคุณเป็นประตูที่จะเปิดกรงขังให้คุณเป็นอิสระจากอิทธิพลของ ยังไม่ดีพอ ที่เป็นฝาครอบคุณไว้  

ความรู้สึกของคุณเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้คุณหลุดพ้นจากวงจรความคิด และการต่อสู้ภายในที่เป็นผลจากความรู้สึกยังไม่ดีพอ

พูดความจริงที่จะปลดปล่อยคุณให้เป็นอิสระจากคำโกหก

  • คุณถูกสร้างมาให้มีความรู้สึก และความรู้สึกเป็นสิ่งดี ความรู้สึกของคุณเป็นของขวัญ เป็นวิธีที่หัวใจคุณบอกให้รู้ว่าต้องการอะไร
  • อนุญาตให้ตัวเองแสดงความรู้สึกได้ จะ บวก หรือ ลบ โดยเฉพาะความรู้สึก เสียใจ โกรธ เศร้า ขมขื่นใจ หงุดหงิด ขุ่นเคืองใจ
  • อนุญาตตัวเองที่จะปล่อยให้ความรู้สึกนั้นแสดงออกมาได้ผ่าน น้ำตา คำพูด พูดกับตัวเอง หรือคนที่คุณไว้วางใจ ปลอดภัย ไม่ตำหนิ ตัดสิน แต่รับฟัง
  • ถ้าคุณไม่มีใครเลย อนุญาตให้คุณเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของตัวเองได้มั้ย
  • เตือนตัวเองบ่อย ๆ ว่า คุณดีพอแล้ว ไม่ว่าคุณจะได้ยินอะไรมา หรือ ใครเคยพูดให้คุณรู้สึกแย่ ๆ กับตัวเอง  
  • ทุกครั้งที่รู้สึกว่า “ยังไม่ดีพอ” กำลังเป็นตัวขับเคลื่อน ผลักดัน หรือกดดันคุณ ให้หยุดพัก และหายใจเข้าลึก ๆ แล้วปรับความรู้สึกและความคิดใหม่
  • วันนี้เปิดหัวใจกว้าง ๆ ให้คำนี้ฝังลึกในหัวใจคุณ ให้เสียงนี้ดังเป็นบทเพลง ทำนองใหม่ในหัวของคุณ
    • คุณดีพอแล้ว
    • คุณสวยพอแล้ว
    • คุณเก่งพอแล้ว
    • อย่างที่คุณเป็น นั่นแหละ

ฉีดยาต้าน ความละอายใจ ด้วยการ ยอมรับและรักตัวเอง

ถ้าคุณรู้สึกอายที่มีปัญหาสุขภาพจิต (ใจ) และสร้างแรงกดดันให้คุณอยากหายดี เพราะไม่ชอบ ไม่อยากเป็นแบบนี้  เหมือนอย่างที่ฉันเคยเป็น ฉันขอปลดปล่อยคุณด้วยความจริงนี้

  • ปัญหาสุขภาพจิตใจ ไม่ใช่ตัวตนของคุณ ไม่ใช่ตราบาปที่บอกว่ามีอะไรผิดปกติเกี่ยวกับตัวคุณ เป็นเพียงความเจ็บป่วยทั่วไป แต่ไม่ได้หมายความว่าคุณผิดปกติ คุณไม่ดี คุณอ่อนแอ เพราะมีปัญหานี้
  • ปัญหาสุขภาพจิตใจที่คุณมีอยู่นี้เป็นภาวะปกติ ที่เกิดขึ้นได้กับมนุษย์ทุกคนขึ้นอยู่กับสถานการณ์ชีวิต และคุณดีพอ มีความสามารถพอที่จะผ่านพ้นอุปสรรคนี้ไปได้
  • วันนี้ฉันตัดสินใจที่จะรักและยอมรับตัวเอง เข้าใจตัวเอง รวมทั้งโรคที่ฉันเป็น และฉันจะให้กำลังใจตัวเอง แทนการซ้ำเติมตัวเอง เพราะฉันรู้ความจริงแล้วว่าฉันอาจมีปัญหาสุขภาพจิตใจ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าฉันมีอะไรผิดปกติ อ่อนแอ น่าอาย
  • ปลอบใจตัวเอง ชมและให้กำลังใจตัวเอง แทนเสียงในหัวที่ชอบตำหนิ ตัดสิน ว่าตัวเอง
  • ฉันให้โอกาสตัวเองที่จะเรียนรู้ ลุกขึ้น และก้าวต่อไป
  • ฉันเข้มแข็งกล้าหาญมากที่ลุกขึ้นมายอมรับ เผชิญกับปัญหาด้วยการไปพบแพทย์ ทานยา รักษา และลุกขึ้นมาเข้าใจโรคที่ตัวเองเป็น เข้าใจและรักตัวเอง
  • และพลังแห่งการรักและยอมรับตัวเองจะพาฉันก้าวไปบนเส้นทางสุขภาพจิตใจที่ดีขึ้น

โรคที่ฉันเป็น ไม่ใช่ อัตลักษณ์ของฉัน

ความผิดพลาดของฉัน ไม่ใช่ อัตลักษณ์ของฉัน

อดีต ไม่ใช่ อัตลักษณ์ของฉัน

ความรัก ไม่ดูถูก เหยียดหยาม เมื่อคุณรู้สึกอ่อนแอ ล้มเหลว ผิดพลาด ผิดหวังแต่ยังรักเสมอ

ความรักนั้นก็อดทนนาน ใจเย็น เมตตา โดยเฉพาะในยามที่คุณไม่สบาย มีปัญหา

ถ้าความละอายใจเป็นฝาปิดกั้นที่สร้างแรงกดดันให้หายดี จนเหนื่อย ท้อใจ

ความรักตัวเองนี้แหละที่เป็นพลังพาฉันลุกขึ้น จากแพนิคสู่พลังสู้ต่อไป

คำถามชวนคิด

คำพูดอะไรบ้างที่คุณเคยได้ยินและทำให้เชื่อว่า มีอะไรผิดปกติ ไม่ดี ไม่ดีพอ เกี่ยวกับตัวคุณ

ถ้อยคำตัดสินที่คุณชอบพูดกับตัวเองบ่อยๆ มีอะไรบ้าง?

มีเหตุการณ์อะไรที่ทำให้คุณรู้สึกหรือคิดว่า ยังไม่ดีพอ

คุณเรียนรู้อะไรบ้างเกี่ยวกับตัวเองวันนี้

คุณจะพูดให้กำลังใจตัวเองด้วยความรักอย่างไรบ้าง

ด้วยรัก

จาก (ใจ) จอย

Leave a comment