แม่ของฉันป่วยเป็นอัมพาต ช่วงปีแรก ๆ แม่ก็มีความหวังว่าถ้าขยันทำกายภาพ เดี๋ยวก็เดินได้ เพราะเรามักจะให้กำลังใจแม่แบบนี้ ผ่านมาจนปีที่สามก็ยังเดินไม่ได้ ช่วงนั้นแม่เริ่มไม่อยากทำกายภาพ หงุดหงิดบ่อยขึ้น พูดน้อยใจ ตัดพ้อ มีปัญหากับคนดูแล และลูก ๆ ฉันเริ่มเอะใจว่าคงต้องพาแม่ไปพบคุณหมอจิตแพทย์ เป็นครั้งแรกที่ฉันได้ยินแม่บอกหมอว่า “เสียใจ ก็สามปีแล้วยังเดินไม่ได้”
คุณหมออธิบายให้ฉันฟังว่าแม่เป็นซึมเศร้าแบบหงุดหงิด ไม่ใช่ซึม เงียบไปเลย ก็จะสังเกตยาก และตอนนั้นฉันเองก็ยังไม่เข้าใจว่าการสูญเสียความสามารถในการเดิน ความสามารถในการช่วยตัวเองนั้นเป็นการสูญเสีย (Loss) ที่ยิ่งใหญ่นะ นำความเศร้าโศกและส่งผลต่อจิตใจได้เช่นกัน
ทั้งแม่และฉันต่างก็มุ่งเป้าหมายไปที่จุดหมายปลายทาง ว่าวันหนึ่งเมื่อแม่เดินได้ เราจะมีความสุข (อีกครั้ง) แต่ในการเยียวยาฟื้นฟูที่ต้องใช้เวลานานแบบผู้ป่วยอัมพาต การใช้ผลลัพธ์เป็นแรงจูงใจ อย่าง “ทำนะแม่ ขยันนะแม่ จะได้เดินได้” ในช่วงแรกอาจจะได้ผล แต่ในระยะยาว เมื่อยังไม่เห็นผล แม่จึงเสียใจ ผิดหวัง ไม่อยากทำ ก็เป็นอีกระยะหนึ่งของการสูญเสียความหวัง เมื่อหวังนั้นยังไม่เป็นจริง ทั้งแม่และลูก ๆ เริ่มหมดกำลังใจในระหว่างทางก่อนไปถึงจุดหมาย
พอเข้าใจความรู้สึกของแม่ ฉันหันมาใส่ใจดูแลจิตใจแม่ด้วยการชวนแม่ขอบคุณสิ่งที่แม่ยังมีด้วยกันทุกเช้า เพื่อที่แม่จะได้มีความสุขตั้งแต่วันนี้ โดยไม่ต้องรอให้เดินได้ก่อนแล้วจึงจะมีความสุข
ขอบคุณ
…ที่เช้านี้ยังมีชีวิตอยู่ ขอบคุณสำหรับลมหายใจ
…ที่มือข้างขวายังกินข้าวได้เอง มือซ้ายยังหยิบลูกบอลได้
…ที่ขาขวายังใช้งานได้ เตะออกกำลังกายเองได้
…ที่ตายังมองเห็นฟ้าสวย ๆ เห็นหน้าลูกหลาน ดูละครได้สนุก
…ที่หูยังได้ยิน ฟังรายการประกวดเพลงได้ ได้ยินเสียงนกร้อง
…ที่ยังกินอาหารได้อร่อย นอนหลับ
…ที่มีลูกอยู่พร้อมหน้า มีคนคอยช่วยดูแล ได้รับการรักษาดูแลที่ดีที่สุด
…ที่เรายังมีกันและกัน
และให้แม่ขอบคุณตัวเอง ทุกครั้งที่เค้าออกกำลังกาย
แม้ในความสูญเสีย เราก็ยังมีสิ่ง ดี ๆ ให้รู้สึกขอบคุณ ได้
ขอบคุณ การเขียนบันทึกขอบคุณที่ช่วยปลอบใจเรา ให้เรามีกำลังลุกขึ้นเดินต่อไปอีกครั้ง
การนึกถึงสิ่งดี ๆ สามข้อทุกวันช่วยดูแลใจให้มีความสุขไม่ว่าจะอยู่ในสภาพใด ช่วงใดของการเดินทาง แม่แฮปปี้ตั้งแต่วันนี้ที่ยังเดินไม่ได้ แม่มีกำลังใจทำกายภาพต่อไปทุกวัน
แล้วคุณล่ะ วันนี้คุณอยากจะขอบคุณ สิ่งดี ๆ 3 ข้อ อะไรบ้าง