Covid หรือ Covid Anxiety หรือ Health Anxiety คืออะไร เกิดขึ้นอย่างไร
ในสถานการณ์โควิดที่ทำให้เรารู้สึกไม่ปลอดภัย เป็นอันตรายต่อสุขภาพ เป็นภัยเศรษฐกิจ รู้สึกไม่พอ ขาดแคลน สร้างความไม่แน่นอน นั้นเป็นปกติที่จะทำให้มนุษย์เรากังวลมากขึ้น
Covid Anxiety หรือ Health Anxiety ซึ่งมักจะเกิดขึ้นเมื่อคุณกลัวว่าจะมีอันตรายต่อสุขภาพของคุณและคนที่คุณรัก พอมีอาการอะไร ก็จะกังวลว่าจะเป็นโรคอะไรรึป่าว จะเป็นโควิดมั้ย ก็จะหาข้อมูล เช็คอาการ หาหมอ อยากจะไปโรงพยาบาลแต่ก็กลัว แล้วก็จะกังวลหนักขึ้น อาการแย่ลง
ก่อนจะพูดถึงวิธีการรับมือ อยากให้คุณเข้าใจก่อนว่าเกิดอะไรขึ้นกับคุณในภาวะวิตกกังวล เครียด
ปฏิกิริยาของร่างกายในภาวะวิตกกังวล เครียด
ความเครียด วิตกกังวลนั้นไม่ใช่เป็นแค่อยู่ในหัวของคุณเท่านั้น ไม่ใช่แค่คิดไปเอง แต่เป็นการตอบสนองของร่างกายทั้งทางสรีรวิทยา และทางจิตวิทยา เรามีระบบป้องกันภัยที่จะตอบสนองต่ออันตรายหรือภัยคุกคาม เป็นการตอบสนองแบบอัตโนมัติ ทันทีและรวดเร็ว เพื่อปกป้องเราจากอันตราย ด้วยการสู้ วิ่งหนี หรือ เมื่อทำอะไรไม่ได้อาจจะหมดสติ เรียกว่า Fight – Flight – Freeze
จำไว้ว่ากลไกอัตโนมัตินี้มีไว้เพื่อปกป้องคุณ ไม่ใช่เพื่อทำร้ายหรือเป็นอันตรายต่อคุณ
ระบบป้องกันภัยอัจฉริยะของเรานั้น ประกอบด้วย 3 ระบบ คือ
- ระบบจิตใจ Mental system
รวมถึงความรู้สึกตื่นเต้น กระวนกระวาย กลัว รวมทั้งความคิด เช่น “มีอันตราย มีอะไรผิดปกติ” สมองจะสอดส่ายมองหาอันตรายที่อาจเกิดขึ้น
เรามีสมอง 2 ส่วน คือ สมองส่วนหน้า ทำหน้าที่ตัดสินใจ รู้คิด พิจารณาไตร่ตรอง แก้ปัญหา และเหตุผล
สมองส่วน Amygdala ทำหน้าที่เกี่ยวกับความรู้สึก ความทรงจำ การตอบสนองทางอารมณ์
ในภาวะวิตกกังวล สมองส่วน Amygdala จะทำงานเพราะในโหมดอันตรายต้องตอบสนองแบบทันทีทันใด มัวแต่คิดไม่ทันเหตุการณ์ เช่น รถจะชน คุณจะกระโดดหนีทันทีโดยไม่ต้องคิด สมองส่วนหน้าจะถูกปิดการทำงาน จึงไม่สามารถบอกได้ว่า สัญญาณหรืออาการเหล่านั้นเป็นอันตรายจริงหรือไม่
ดังนั้นเวลาที่อยู่ในโหมดนี้ อย่าแปลกใจที่คุณจะคิดอะไรไม่ออก จิตใจจะไม่สงบ เพราะเป็นกลไกอัตโนมัติ
อีกอย่างเมื่อไม่มีอันตรายจริง ๆ สมองจะเริ่มคิดว่า งั้นต้องมีอะไรผิดปกติกับฉัน แน่ ๆ เช่น ฉันกำลังจะตาย ฉันกำลังจะเป็นบ้า สูญเสียการควบคุม
2. ระบบร่างกาย Physical system ภาวะเครียด วิตกกังวลส่งผลต่อร่างกายหลายส่วน
มีผลต่อระบบประสาทและสารเคมี
- สมองจะส่งสัญญาณให้ระบบประสาทอัตโนมัติซึ่งมี 2 แขนง คือ ระบบประสาทอัตโนมัติซิมพสเธติค Sympathetic กับ Parasympathetic พาราซิมพาเธติค
- ระบบประสาทซิมพาเธติคจะทำงาน มีหน้าที่ปล่อยพลังงานและสารเคมี เช่น อดรีนาลีน และ คอร์ติซอลออกมามากเพื่อเตรียมพร้อมให้ร่างกายลงมือทำอะไร เช่น สู้ หนี
- ในขณะที่ระบบประสาทพาราซิมพาเธติคซึ่งมีหน้าที่ทำให้ร่างกายกลับคืนสู่ภาวะปกติ ผ่อนคลาย จะไม่ทำงาน
ผลต่อระบบสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงหัวใจ ระบบประสาทซิมพาเธติค จะเพิ่มอัตราการเต้นหัวใจเร็วขึ้น เลือดจะสูบฉีดเลี้ยงร่างกายส่วนที่ต้องเตรียมสู้ หรือ หนี เช่น กล้ามเนื้อ แขน ขา กำหมัด
ผลต่อระบบหายใจ ส่งผลให้หายใจเร็ว ถี่ หรือ หายใจตื้น ทำให้รู้สึกว่าหายใจไม่เต็มปอด หายใจไม่ทัน ทำให้รู้สึกเจ็บหน้าอก และผลข้างเคียงของการหายใจแบบนี้ทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองน้อยลง แต่ไม่ถึงขั้นอันตราย แต่ทำให้มีอาการที่ไม่ค่อยสบายตัวสบายใจนัก เช่น เวียนหัว ตามัว สับสนนิด ๆ ร้อนเย็นสลับไปมา
ผลต่อต่อมเหงื่อ ทำให้เหงื่อออกมากขึ้น
ผลต่อร่างกายส่วนอื่น ๆ ตาพร่า มัว น้ำลายลดลงทำให้ปากแห้ง กลืนลำบากเพราะกล้ามเนื้อเกร็งตึง
ยับยั้งการบีบตัวและการหลั่งน้ำย่อยของกระเพาะอาหาร ทำให้รู้สึกคลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ท้องอืด เฟ้อ ท้องผูก
กล้ามเนื้อตึง เกร็ง รวมทั้งสั่นนิด ๆ จนถึงสั่นมาก
ในโหมดสู้ หนี นี้ ใช้พลังงานเยอะมาก หลังจากนั้นจะรู้สึก เหนื่อย เพลีย หมดแรง
ข้อสำคัญคือคุณต้องคอยบอกตัวเองว่า อาการที่เกิดเหล่านี้เป็นปกติ ตามธรรมชาติ ไม่มีอันตราย
3. ระบบพฤติกรรม Behavior system
เนื่องจากกลไกสู้ หนี เตรียมพร้อมให้เราลงมือทำอะไรสักอย่างในสถานการณ์อันตรายจริง ๆ แต่เมื่อไม่สามารถทำอะไรได้ ก็จะแสดงอาการออก เช่น เคาะเท้า เดินไปมา ตะโกนว่าคนอื่น เพราะรู้สึกว่าตนเองนั้นถูก ติดกับ จนมุม และจำเป็นต้องหนี
สรุป ในโหมดสู้ หนี หรือ ภาวะวิตกกังวลนี้ การพยายามควบคุมความคิดจะทำได้ยากเพราะสมองส่วนหน้าไม่ทำงาน การตั้งสติจึงทำได้ยาก วิธีที่จะช่วยคุณในภาวะเช่นนี้คือ การเปิดสวิตช์ให้ระบบประสาทอัตโนมัติพาราซิมพาเธติคทำงาน เพื่อให้ร่างกายกลับสู่ภาวะผ่อนคลาย ปลอดภัย ซึ่งเรียกวิธีนี้ว่า (Bottom Up) คือพาตัวเองออกจากโหมดความคิดสู่โหมดร่างกาย และวิธีที่ดีที่สุดคือการฝึกหายใจ หรือการฝึกสติ (Mindfulness) เช่น Body Scan ฝึกประสาทสัมผัสทั้ง 5 และการเคลื่อนไหวอย่างมีสติ เทคนิคเหล่านี้ยังช่วยเปิดสวิตช์ให้สมองส่วนหน้าทำงานด้วย สติจะค่อย ๆ เริ่มมา
เมื่อเข้าใจกลไกนี้แล้ว ทำให้ฉันเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น และเห็นว่าวิธีหรือคำแนะนำส่วนใหญ่จะเน้นไปที่ความคิด หรือ Top down แต่ทำไมมันไม่ได้ผล ก็เพราะว่าในโหมดนั้นสมองส่วนหน้าที่เกี่ยวกับความคิด เหตุผล นั้นปิดสวิตช์อยู่ ไม่ทำงาน ไม่สามารถบอกได้ว่า สัญญาณหรืออาการเหล่านั้นเป็นอันตรายจริงหรือไม่ มิน่าล่ะ ถึงแม้หลังจากที่รู้ว่าเป็นแพนิค ไม่ใช่โรคหัวใจ และโรคแพนิคไม่ทำให้ตายเหมือนโรคหัวใจอย่างที่กลัว แต่เวลาแพนิคมาทีไร ฉันสติแตก หัวฉันมืด ตื้อ คิดอะไรไม่ออก เหมือนจะตายจริง ๆ ตอนนี้เข้าใจแล้วว่าเพราะอะไร หลงโทษตัวเองว่าขาดสติอยู่ตั้งนาน
หวังว่าความรู้นี้จะช่วยให้คุณอธิบายและสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง เพื่อให้คุณรับมือแยกแยะอาการ โควิดจริง กับ Covid Anxiety ได้ดีขึ้น
ห้ามพลาด ในตอนที่ 2 คุณจะได้เรียนรู้ทักษะในการรับมือความกังวลในยุควิถีใหม่