สูญเสียธุรกิจ ความฝัน และความเชื่อมั่นในตนเอง
หลังจากมีภาวะหมดไฟ หรือ burnout โดยไม่รู้ตัว ฉันลาออกจากงานไปตามฝันที่อเมริกา
วันนั้นฉันเองก็ไม่รู้ว่า ความฝันที่หัวใจเรียกร้องนั้นไม่ใช่ธุรกิจ หรอกนะ แต่เป็น ฝันในดวงใจต่างหาก
ทุกการเปลี่ยนแปลงในชีวิตนำมาซึ่งความเครียด วิตกกังวล จากการปรับตัว แต่ฉันไม่รู้อะไรเลย
ในช่วงเริ่มต้นธุรกิจของตัวเองที่เมกา 3 เดือนแรก แล้วฉันคิดว่ากำลังมีความสุข ไม่มีความเครียดจากงาน แต่ฉันไม่รู้ว่าทุกการเปลี่ยนแปลงนำมาซึ่งความเครียดในการปรับตัว ปรับใจเพื่อก้าวผ่านสู่ชีวิตใหม่ การเริ่มต้นใหม่ และวันหนึ่งฉันเริ่มมีอาการแพนิค มากขึ้น และยังไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร เรียกว่าไร้เดียงสาจริง ๆ
ครั้งหนึ่งอาการแพนิคมา ไปเจาะเลือดหาหมอ ปกติดีทุกอย่าง คุณหมอฝรั่งถามฉันว่ามีอะไรเครียดมั้ย ฉันตอบทันทีว่าไม่มี ในใจคิดว่าก็ฉันลาออกจากงานแล้ว ไม่เห็นมีอะไรเครียดเลย
อีกไม่กี่เดือนต่อมาเมื่อฉันต้องบินกลับเมืองไทยกะทันหัน เพราะไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร กลับมาหาหมอตรวจสุขภาพดีกว่า ฉันมีอาการ nervous breakdown และกว่าจะตรวจเจอว่าเป็นอะไรกันแน่ ก็ถูกวินิจฉัยผิด ในปี 2543 ไม่ค่อยมีคนเข้าใจโรคแพนิค
จำได้ว่าคุณหมออธิบายว่า ฉันเหมือนน้ำล้นแก้ว ปกติเราจะมีความเครียดในชีวิตได้ในระดับหนึ่ง และเหลือพื้นที่สำหรับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด แต่ว่าระดับความเครียดของฉันมันล้นแก้ว เลยส่งผลต่ออาการต่าง ๆ ทางร่างกาย นั่นคืออาการแพนิคที่ฉันเป็น แต่ตรวจหาความผิดปกติของร่างกายไม่เจอ
ช่วงที่ฉันลาออกจากงานก็เรียกว่าฉันอยู่ในภาวะ เครียดสะสมเรื้อรัง พอไปเมกา การเปลี่ยนแปลงนำมาซึ่งความเครียดที่ไม่รู้ตัว การปรับตัว การเริ่มธุรกิจ ชีวิตใหม่ที่ไม่แน่นอน ไม่มีความมั่นคง แน่นอนว่ามีภาวะเครียดซ่อนเร้น เผอิญแก้วฉันมันเต็มปรี่ อยู่แล้ว พร้อมที่จะล้นแก้ว ท่วมท้น และออกอาการแพนิค
หลังจากพบหมอถูกทาง รักษาถูกทาง อาการดีขึ้น ฉันก็พร้อมลุย กลับไปทำธุรกิจต่อ มีความสุขกับชีวิตใหม่ ที่ฉันเลือก
ฉันเริ่มธุรกิจได้ไม่นาน อเมริกาเกิดเหตุการณ์ 9-11 และวิกฤตืเศรษฐกิจ ผู้ประกอบการธุรกิจหน้าใหม่อย่างฉันก็เจอพิษเศรษฐกิจ และสุดท้ายฉันเจอปัญหาการเงิน และปิดธุรกิจ
ฉันมักจะเล่าชีวิตตัวเองแบบนี้ ฉันสูญเสียสุขภาพ ป่วยเป็นโรคเครียดและแพนิค อออกจากงาน ไปทำธุรกิจเอง แต่ก็ล้ม ฉันยังคงมองว่าเป็นการสูญเสีย เป็น Loss เป็นความผิดพลาด ล้มเหลว เพราะฉันวู่วาม ไม่ได้คิดรอบคอบ และ…
อย่างที่บอกว่าฉันคุยกับพี่แสนดีที่เจียงใหม่ทุก ๆ อาทิตย์ และพระเจ้าพาฉันไปให้นึกถึงฉากนี้ในชีวิต พระเจ้ารู้ดีว่า ฉากนี้ในชีวิตต้องการกู้คืน เยียวยา ปลอบใจจากพระองค์
ช่วงที่มีปัญหาการเงินจากการทำธุรกิจ ไม่รู้จะหันหน้าไปหาใคร ไม่รู้ว่าจะแก้ปัญหาอย่างไร สร้างความอึดอัดใจ ต้องเผชิญปัญหาคนเดียว ไม่กล้าบอกใคร ดิ้นรนหาหนทางเองคนเดียว เป็นความรู้สึกที่โดดเดี่ยว
วันที่ฝันสลาย ต้องเลิกธุรกิจ ต้องกลับจากเมกามาเมืองไทยอีกครั้ง
การสูญเสียธุรกิจและความฝันครั้งนี้ยังทำให้ฉันขยาดกลัว สูญเสียความมั่นใจในความสามารถของตัวเอง และกล่าวโทษตัวเอง
พอพ่อจ๋าเยียวยาหัวใจ และความรู้สึกเหล่านั้น แล้ว พ่อก็กู้คืนสตอรี่ เรื่องราวในหัวที่สะดุดอยู่ที่การสูญเสีย ให้ฉันเห็นว่า ชีวิตในเมกาช่วงนั้นฉันมีความสุขเพียงใด และพระเจ้านำพาผู้คนดี ๆ มาดูแลชีวิตฉันช่วงนั้นอย่างไร แม้ฉันจะยังไม่รู้จักพ่อจ๋าที่แสนดีเลย
รวมทั้งการไปเมกาของฉันนั้น มีแผนการยิ่งใหญ่ซ่อนอยู่ อีกฝันที่ฉันไม่คาดคิดเพราะเลิกฝันไปนานแล้ว แต่พ่อจ๋ารู้ดี นั่นคือ การไปเมกาครั้งนั้นทำให้ฉันพบฮันนี่ และได้แต่งงาน แทนที่จะแต่งกับงาน ถ้ายังอยู่เมืองไทยและทำงานบริษัทต่อไปนั่นเอง
นั่นคือ Surprise ชิ้นใหญ่จากการไปเมกาของฉัน
แม้ว่าไม่นานนักฉันก็ต้องพบกับการสูญเสียอีกครั้ง
บทส่งท้าย
ฉันไม่ได้เฉลียวใจเลยว่าเหตุการณ์สูญเสียใหญ่ ๆ ในชีวิตนั้นเชื่อมโยงต่อเนื่องกันจนฉันสะดุดกึกอยู่ที่โหมดสูญเสีย จนพ่อจ๋ารื้อฟื้นเรื่องราวเพื่อพลิกฟื้น เยียวยา ปลอบใจ ให้ฉันมีประสบการณ์กับ Redemptive love รักที่กู้คืนทุกฉากทุกตอนในชีวิตจริง ๆ
เมื่อหัวใจได้รับการปลอบใจ พ่อก็เปลี่ยน soundtrack ในหัวฉันใหม่ ให้บทเพลงใหม่
ฉันเป็นคนกล้า
กล้าทำตามความฝัน
กล้าตัดสินใจ กล้าเสี่ยง
ฉันจะเชื่อในตัวเองอย่างที่พ่อเชื่อในตัวฉัน
ฉันจะมองตัวเองอย่างที่พ่อมองฉัน
แล้วฉันก็ได้ยินเสียงเพลง You Raise Me Up กับเพลง Wind Beneath My Wing
จากนั้นฉันเห็นหน้า พระเยซู กับคำพูด Come to me those who are weary…
ฉันยกความเหนื่อยล้า ในการเดินทางของชีวิตช่วงนั้น ให้พระองค์และนั่งพักให้พระองค์เสริมกำลัง และให้ความหวังใหม่อีกครั้ง
นั่นเป็นประสบการณ์การเยียวยาการสูญเสีย และความเศร้าโศกกับพระเจ้าของฉันในช่วงโควิด
พระเจ้าอยากจะปลอบใจฉันจริง ๆ รักของพระองค์ลึกซึ้งจริง ๆ
ขอพระเจ้าปลอบประโลมหัวใจทุกดวง