EP 1: ทักษะการอยู่กับแพนิค อย่างเข้าใจ

ความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับโรคที่เป็น จะช่วยให้คุณเยียวยาฟื้นฟูได้ดีขึ้น

“YOUR ANXIETY DOESN’T NEED TO BE FIXED.
IT DOES NEED TO BE UNDERSTOOD.”
– Britt Frank, Psychotherapist.
“ความวิตกกังวลของคุณไม่จำเป็นต้องแก้ไขหรือขจัด
แต่จำเป็นต้องได้รับการเข้าใจที่ถูกต้อง”

เข้าใจอาการแพนิค

อาการวิตกกังวล หรือ แพนิค มีสาเหตุมาจาก 3 เหตุการณ์พร้อม ๆ กัน

1. ถูกกระตุ้น หรือจากสภาพแวดล้อม สถานการณ์ เหตุการณ์ เรียกว่าสิ่งเร้าความเครียด เช่น สอบ ส่งงาน พรีเซ็นต์งาน ไปงานปาร์ตี้

2. ปฏิกิริยาทางความคิด เช่น คิดกังวล ความคิดวิ่งเร็วไปไกล กลัวว่าจะเป็นอะไร มีอะไรผิดปกติ เพราะสมองส่วน Amygdala ทำงานอย่างหนัก พยายามค้นหาสิ่งผิดปกติ หาสาเหตุ เพื่อปกป้องเรา ในขณะที่สมองส่วนความคิดฝั่งเหตุผลจะถูกปิดการใช้งาน จึงไม่ใช่ความผิดของคุณที่คุณจะคิดว่าจะเป็นอะไรมั้ย จะตายมั้ย แต่ให้รู้เท่าทันว่าเป็นปกติ จากนั้นจะมีวิธีที่จะช่วยให้อาการสงบ แล้วความคิดจะสงบลง

3. ปฏิกิริยาทางกาย หรือ อาการทางกาย เช่น หายใจเร็ว กำมือ

ปฏิกิริยาทั้งสามนี้ก่อให้เกิดวงจร feedback loop ที่ส่งผลกระทบต่อกันและกัน สมองจะสร้างเส้นทางหรือจดจำแพทเทิร์นของแพนิค

รู้จักระบบสัญญาณเตือนภัยในร่างกายเรา

ร่างกายเรามีระบบสัญญาณเตือนภัยที่ติดตั้งมา เพื่อช่วยปกป้องเราจากอันตราย

เมื่อเจออันตราย หรือ คิดว่าจะเป็นอันตรายสมองจะทำงานเพื่อปกป้องเราจากอันตราย เปรียบเหมือนระบบสัญญาณเตือนภัยที่จะส่งเสียงดัง โดยทำให้เกิดปฏิกิริยาตอบสนองทางร่างกาย เช่น หัวใจเต้นเร็ว กล้ามเนื้อเกร็งตึง เลือดสูบฉีดแรง หายใจเร็ว เหงื่อออก เพื่อเตรียมร่างกายให้พร้อมที่จะสู้ – หนี – สลบ หรือ Fight – Flight – Freeze Response ของระบบประสาทอัตโนมัติ

แพนิคก็เป็นอาการที่เกิดจากกลไกนี้ กลไกนี้เกิดขึ้นอัตโนมัติ อยู่นอกเหนือการควบคุมของสมองฝั่งความคิด ที่เป็น conscious mind ซึ่งเรารับรู้ได้ กลไกอัตโนมัติ มีไว้เพื่อปกป้องคุณจากอันตราย คล้ายกับระบบสัญญาณเตือนภัยที่ติดตั้งมาแล้วในสมองเรา

ดังนั้นอาการแพนิคจึง ไม่ใช่ ความผิดของคุณ

แพนิค เป็นเรื่องที่ซับซ้อน แต่อาจอธิบายให้เข้าใจง่าย  ๆ โดยเปรียบเหมือน ระบบสัญญาณเตือนภัย กับ ส่งสัญญาณผิดพลาด ไม่ได้มีอันตรายเกิดขึ้นจริง ๆ

คนที่อยู่ในภาวะเครียด สะสม ต่อเนื่องตลอดเวลา ทำให้ระบบสัญญาณเตือนภัย เซนซิเทีฟ หรือ ทำงานไวเกินปกติ ก็จะส่งเสียงดังบ่อย สำหรับแพนิคก็จะออกอาการเป็น หายใจไม่เต็มอิ่ม หัวใจเต้นเร็ว เหงื่อออก โคลงเคลง เหมือนจะเป็นลม มึนงงและเมื่อเกิดแล้วอาจทำให้เกิดความกลัวว่าจะตาย เป็นบ้า หรือสูญเสียการควบคุม จากนั้นทำให้กลัวและวิตกกังวลกับประสบการณ์นี้ และกลัวว่าจะเกิดขึ้นอีก จนวนเวียนไปมา

อาการทางกายของโรคแพนิคนั้นเกิดขึ้นเป็นจริง เกิดขึ้นจริง ๆ ไม่ได้คิดไปเองแต่อย่างใด เพียงแต่ว่าไม่ได้เกิดจากการผิดปกติของอวัยวะใดอวัยวะหนึ่งเหมือนโรคอื่น ๆ

อาการต่าง ๆของแพนิค เช่นหัวใจเต้นเร็ว ไม่เป็นจังหวะ มักทำให้เรากังวลและกลัวว่าเราจะเป็นโรคหัวใจมั้ย หัวใจ ทำงานผิดปกติมั้ย ซึ่งคนที่ได้รับการตรวจวินิจฉัยทางการแพทย์ว่าเป็นโรคแพนิคทุกคนมักจะผ่านการตรวจสุขภาพมาหลายอย่าง บางคนหมดเงินเป็นแสน บางคนเข้าห้องฉุกเฉินหลายครั้ง แต่ตรวจไม่พบความผิดปกติทางร่างกายใด ๆ จึงถูกส่งตัวไปพบจิตแพทย์ เพราะไม่ได้ป่วยกาย แต่ป่วยทางจิตใจ โรคแพนิคไม่ใช่แค่ จิตใจ แต่ จิตใจและร่างกายนั้นสัมพันธ์กันและกัน

จึงเป็นสิ่งสำคัญที่คุณต้องผ่านการตรวจวินิจฉัยทางการแพทย์แล้วว่าเป็นแพนิค ไม่ได้เป็นโรคทางกายอื่น ๆ ที่เป็นอันตราย

เมื่อตรวจพบแล้ว คอยย้ำเตือนตัวเอง ว่าเราไม่ได้เป็นโรคอื่น แต่เป็นแพนิค และเรียนรู้ที่จะเข้าใจอาการของเรา และแยกแยะ จะได้ไม่ตื่นตกใจเวลาอาการมา

อาการหัวใจเต้นเร็ว ไม่ใช่เพราะเป็นโรคหัวใจ หรือมีความผิดปกติของหัวใจ

อาการหายใจไม่เต็มอิ่ม ไม่เต็มปอด ไม่ใช่เพราะปอดคุณผิดปกติ หรือเป็นโควิด

อาการมึนหัว โคลงเคลง ไม่ได้มาจากความดันโลหิต

อาการปวดมวนท้อง ไม่ได้มาจากแผลในกระเพาะอาหาร เป็นต้น

หากสงสัยว่าจะเป็นโรคอะไร ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ตรวจสุขภาพ และตรวจวินิจฉัย ไม่ถาม Google เอง เพราะความวิตกกังวลจะทำให้คุณคิดว่าคุณเป็นทุกโรคที่อ่านเจอ ฉันเองก็เป็นมาแล้วเหมือนกัน

เมื่อสัญญาณเตือนภัย ส่งเสียงดังเสียงนั้นทำให้ไม่สบายใจ รำคาญ และยุ่งยากลำบาก
แต่สัญญาณเตือนนี้ไม่ได้โจมตี หรือ attack บ้านคุณ หรือ รถคุณ
ให้เสียหาย เป็นอันตรายแต่อย่างใด
เสียงนี้เป็นสัญญาณเตือนให้คุณรู้ว่ามีอะไรบางอย่างมากเกินไป ที่คุณต้องให้ความสนใจ

เช่นกัน อาการแพนิคที่เกิดขึ้น เป็นเหมือนสัญญาณเตือนภัยที่ร้องเตือนให้คุณรู้ว่ามีอะไรมากเกินไป เช่น ระดับความเครียดมากเกินไป ทำงานนานเกินไป ต้องหยุดพักแล้ว ไม่ได้หมายความว่ากำลังมีอันตรายเกิดขึ้น หรือคุณกำลังจะตาย หรือ หัวใจวาย หรือเป็นโควิดแต่อย่างใด

วิธีการแยกแยะอาการ

นอกจากจะต้องมั่นใจว่าคุณตรวจสุขภาพ และไม่พบความผิดปกติใด ๆ แล้ว เหมือนฉันและคนเป็นแพนิคทั่วไปที่เสียเงินตรวจสุขภาพครบทุกอย่าง บางคนหมดเงินเป็นแสนกว่าจะตรวจพบว่าเป็นแพนิค เพราะผลตรวจออกมาทุกอย่างปกติ แต่ ยังมีอาการอยู่ ซึ่งอาการแพนิค วิตกกังวลเหล่นี้เกิดขึ้นจริง ๆ ไม่ได้แกล้งเป็น หรือ คิดไปเอง มโน สั่งจิต ใด ๆ ทั้งสิ้น แต่เกิดจากระบบสัญญาณเตือนภัยทำงานไว ส่งสัญญาณผิดพลาด คล้าย False Alarm ซึ่งเป็นการทำงานของระบบประสาทอัตโนมัติของเราที่เชื่อมโยงกับอวัยวะหลายส่วน

หมั่นสังเกตอาการของคุณ

อย่างฉันจะมีอาการ มึน ๆ งง ๆ โคลงเคลง หายใจไม่อิ่ม ไม่เต็มปอด หัวใจเต้นเร็ว พอเริ่มมีอาการ ฉันจะวัดความดัน วัดออกซิเจน (ในช่วงโควิด) ก็ปกติ ก็จะเริ่มรู้แล้วว่า อาการ แพนิค หรือ วิตกกังวล

ความวิตกกังวลหรือแพนิคเป็นอาการ ไม่ใช่ ปัญหา

เป็นเหมือนสัญญาณไฟเตือนระบบเครื่องยนต์บนหน้าปัดของสมองเรา

ส่งเสียงเตือนให้รู้ว่ามีอะไรมากเกินไป ไม่ปลอดภัย

เมื่อสัญญาณเตือนภัยส่งเสียงดัง

ให้เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น เราไม่ได้เป็นอันตราย

เราไม่ได้จะตาย เราไม่ได้เป็นบ้า

เราสามารถหรี่เสียงสัญญาณเตือนภัยให้เบาลงได้

เมื่อสัญญาณเตือนภัยเบาลง ทำงานตามปกติ

อาการต่าง ๆ จะบรรเทาลงจนหายไปเอง

สิ่งที่ทำให้การเป็นแพนิคนั้นทุกข์ทรมานและยากลำบากใจจริง ๆ ก็คือ ประสบการณ์การเป็นแพนิคของเราโดยเฉพาะครั้งแรกที่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น และน่ากลัวมาก ๆ เพราะคล้ายว่าเราจะตาย หรือ จะเป็นบ้า หรือจะควบคุมอะไรไม่ได้เลย นั้น ยิ่งกระตุ้นให้สัญญาณเตือนภัย (Danger Alarm) ส่งเสียงเตือนภัยดังขึ้น ที่เรียกว่ากลไก สู้ หนี สลบ หรือ Fight-Flight-Freeze Response ส่งผลให้อาการแย่ลง เป็นหนักขึ้น นานขึ้น และสุดท้ายทำให้เรากลัวแพนิค ยังไม่เป็นก็กลัว หรือแม้เริ่มมีสัญญาณเตือนอ่อน ๆ ก็จะยิ่งทำให้อาการแย่ลงกลายเป็นวงจรวนเวียนแบบนี้

วิธีรับมือเวลาแพนิคมาเยือน หรือเมื่อสัญญาณเตือนภัยส่งเสียงดัง False Alarm

เราต้องฝึกทักษะ เหมือน นักดับเพลิงยังต้องฝึกการดับไฟ เมื่อได้ยินเสียงสัญญาณเตือนภัย

มีหลายกลยุทธ์ และเทคนิคต่าง ๆที่เราสามารถฝึกได้เพื่อรับมือเวลาที่สัญญาณเตือนภัยดัง หรือเวลาที่คุณเริ่มมีอาการ เพื่อหรี่เสียง สัญญาณเตือนภัยให้เบาลง หรือ ปิดเสียงสัญญาณเตือนภัย ได้ แล้วอาการต่าง ๆ จะบรรเทาลงเอง

Mindfulness หรือ การฝึกสติ เทคนิคการหายใจ และเทคนิคผ่อนคลายตัวเอง Self-Relaxation เช่น Body Scan, Progressive Muscle Relaxation (เกร็งคลายกล้ามเนื้อ), EFT Tapping เคาะบำบัด, การจัดการอารมณ์ เขียนปลดปล่อยความรู้สึก, Guided Imagery (จินตภาพบำบัด)

เทคนิคเหล่านี้ช่วยให้คุณลอยตัว เวลาที่เหมือนจะจมน้ำ ตอนมีอาการ ยิ่งดิ้น ยิ่งพยายามกำจัดอาการ ยิ่งหนี ต่อสู้ จะยิ่งจม

เทคนิคเหล่านี้ยังช่วยรีเซ็ตสมอง สร้างเส้นทางใหม่ให้กับระบบประสาทของคุณ เพื่อที่จะเรียนรู้ จดจำใหม่ว่าคุณปลอดภัย ไม่มีอันตรายใด ๆ และยังลดระดับความเครียด ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นการทำงานของสัญญาณเตือนภัย

ยิ่งคุณฝึกทักษะเหล่านี้ ควบคู่กับการรักษา การทำจิตบำบัด การจัดการอารมณ์ ความรู้สึก เพราะความเครียดทางอารมณ์เป็นตัวกระตุ้นสัญญาณเตือนภัยเช่นกัน และจัดการปัญหาที่เป็นสถานการณ์ตึงเครียด แบบองค์รวม ด้วยความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง คุณ ก็จะทุกข์น้อยลงกับโรคที่เป็น

เลือกฝึกทักษะหนึ่งที่เหมาะกับคุณจนคล่อง ฝึกตอนที่ไม่มีอาการ เวลาแพนิคมาจะได้คล่อง จากนั้นลองฝึกทักษะอื่น ๆ ต่อไป จะได้รู้ว่าอันไหนถูกจริตเรา เหมาะกับอาการ และสถานการณ์

อย่าพลาด ติดตาม แพนิค EP 2 ด้วยน้า

ติดตาม ซีรีส์ แพนิค ทาง YouTube ได้ที่นี่

ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนที่เป็นแพนิค วิตกกังวล

เราจะร่วมเดินทางไปด้วยกัน

ด้วยรักจากใจ- จอย

www.hearttalkwithjoy.com

@happyheartandbrain

Leave a comment