EP 5: ย้อนรอย ถอดบทเรียนแพนิคครั้งที่ 1 

ทุกการเดินทางมีจุดเริ่มต้น จุดหมายปลายทาง และแผนที่

บนเส้นทางที่จ่ายราคาแพงนี้ อยากเขียนเพื่อย้อนมอง ทบทวน สิ่งที่เรียนรู้ เก็บตก ระหว่างทาง จากวันนั้นถึงวันนี้ กว่า 20 ปี

From Panic to Passion

จากไม่รู้อะไรเลย ตกใจ กลัว แพนิค วันนี้กลายเป็น Passion ที่อยากให้ทุกคนใส่ใจสุขภาพจิตใจ และสร้างวัฒนธรรมใหม่ในการเห็นอกเห็นใจ เข้าใจอารมณ์ ความรู้สึก พัฒนาทักษะจัดการอารมณ์ ความเครียด

ประสบการณ์เป็นแพนิคครั้งที่ 1 พ.ศ. 2543

กว่าจะรู้ว่าเป็นแพนิค กับการเดินทางที่ยาวไกล

จริง ๆ แล้วจอยมีอาการเริ่มจากเครียดลงกระเพาะ หลังแข็งจนต้องไปทำกายภาพให้เครื่องกระตุ้นให้กล้ามเนื้อคลายตัว ก็เริ่มไปออกกำลังกาย แต่ไม่รู้ว่าเครียดสะสมจากการบ้างาน พอเย็นวันอาทิตย์จะเริ่มมีอาการเครียด พอกลับบ้านปิดสวิตช์ที่หัวไม่ได้ เหมือนร้าน 7-11 เลย ทำงานอยู่ตลอดเวลา ที่จริงนั่นคือสัญญาณเตือนว่าต้องหาหมอแล้ว แต่ก็ก็ไม่รู้เลยจริง ๆ เรียกว่า innocent ก็ว่าได้

วันหนึ่งเลิกงานกำลังจะกลับบ้าน อยู่ ๆ มีอาการมึนเหมือนจะวูบ หายใจลำบาก ตกใจมาก พอดีอยู่ที่หน้าร้านบูทส์ที่ตึกที่ทำงาน เลยเดินเข้าไปในร้าน น้องเภสัชก็ช่วยให้เอามือถู ๆ ดมยาดม พอดีขึ้นไม่กล้าขับรถกลับบ้านเอง โทรให้น้องสาวมารับ ทิ้งรถไว้ที่ออฟฟิศ นั่นคืออาการแพนิคครั้งแรก แต่ก็ยังไม่รู้ว่าเป็นอะไร จนอีกสองปีต่อมา มีคนเอายาจีนมาให้กินเพราะคิดว่าน่าจะเลือดลมไหลเวียนไม่ค่อยดี จากนั้นนาน ๆ ก็จะมีอาการ ที่น่าแปลกใจคืออาการมักจะมาตอนไม่ได้ทำงาน ไม่ได้คิดว่าเครียดอะไร คิดว่าต้องพักผ่อนบ้าง เลยลาพักร้อนไปเที่ยวเมกา ปรากฏว่าคืนนั้นจัดกระเป๋ากลางดึก อาการก็มา ระหว่างทริปก็มีอาการที่ร้านอาหารระหว่างกินข้าวเย็น ร้านคนแน่น จากนั้นก็มีอีกหลาย Episode แต่เบา ๆ ยังทำงานได้ตามปกติ

จากนั้นอีกไม่นานจอยเริ่มมีภาวะหมดไฟ โดยที่ไม่รู้อีกเหมือนกัน และเริ่มคิดจะลาออกจากงาน อยากไปอยู่อเมริกา

บอกลาความเครียดจากงาน ไปอเมริกา

ปี 2543 จอยก็ลาออกจากงาน ทิ้งอาชีพการงานที่ดูเหมือนจะไปได้ดี ไปผจญภัยที่เมกา มารู้ทีหลังว่านั่นแหละภาวะหมดไป พอกันที ไม่เอาแล้ว  

จอยกำลังมีความสุขกับการเริ่มต้นชีวิตใหม่ เริ่มทำธุรกิจของตัวเอง แต่อยู่ ๆ ก็เริ่มมีอาการแพนิคระหว่างทำกับข้าว หรือ กลางคืนที่นั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์ค้นหาข้อมูลทำธุรกิจ

วันหนึ่งจอยไปทานข้าวกับพี่สาวและพี่เขย ระหว่างคุยกันอยู่ ๆ ก็มีอาการ จอยลงไปนอนที่เก้าอี้ ได้ยินผู้จัดการร้านถามว่า “ต้องให้เรียกรถพยาบาลมั้ย” จอยรีบถามทันทีว่า “เท่าไร” จำได้ว่าเค้าบอกว่า “500 เหรียญ” จอยเลยมีแรงบอกเค้าไปว่า “ไม่ต้อง” จากนั้นพี่สาวพาไปคลินิกใกล้ ๆ ถูกเจาะเลือด น้ำตาลก็ปกติ เลยกลับบ้าน

คืนนั้นมีอาการตัวสั่นไม่หยุด เหมือนหิว หรือหวิว ๆ  แต่พอทานอะไรลงไปก็ดีขึ้น เลยทานไม่หยุดทั้งคืน ฝรั่งน่าจะเรียกว่า Nervous Breakdown รุ่งเช้าพี่สาวขับรถพาไปหาหมอที่โรงพยาบาล ระหว่างทางก็ยังมีอาการตลอด ที่ประหลาดคือพอรถเริ่มเข้าประตูเขตโรงพยาบาล อาการหาย พอเจอหมอก็ไม่มีอาการใด ๆ หมอเลยให้นั่งรอดูอาการ 3 ชั่วโมง ก็ยังไม่มี สรุปกลับบ้าน หมอก็งง (วันนี้จอยรู้คำตอบแล้วนะ ตามอ่านตอนต่อไป)

บินกลับไทย กลับมาเช็คสุขภาพยกใหญ่

สุดท้ายจอยตัดสินใจบินกลับมาหาหมอเมืองไทย เพราะตอนนั้นยังไม่มีประกัน ยังซื้อไม่ได้จนกว่าจะอยู่ถึง 6 เดือน กลัวว่าจะเป็นอะไรร้ายแรง กลับบ้านเรามารักษาก่อนดีกว่า

จำได้ว่าจอยเขียนป้ายห้อยคออธิบายเป็นภาษาอังกฤษ แปลเป็นไทยว่า “ถ้าคุณเห็นฉันไม่สบายจะเป็นลม ให้เอาอาหารในกระเป๋าป้อนฉัน” จอยเตรียมไข่ต้ม บร็อคโคลีนึ่ง ลูกอมไปด้วย พอน้องสาวเห็นป้ายนี้เค้ายังหัวเราะเลย แต่ตอนนั้นจอยขำไม่ออกหรอกนะ แต่วันนี้กลายเป็นเรื่องขำของจอย มีหลาย Episode มาก

พอมาถึงก็ตรงไปแอดมิดเข้าโรงพยาบาลใกล้สนามบินดอนเมืองที่สุด ตอนนั้นคงคิดว่าฉันต้องเป็นอะไรแย่ ๆ แน่ ๆ จำไม่ได้ว่านอน  5 หรือ 7 วัน ถูกเจาะเลือดทุกเช้า และยังมีอาการ หมอก็ตรวจทุกอย่างรวมทั้งเกี่ยวกับต่อมไร้ท่อ

ตรวจทุกอย่างแล้ว ปกติ แต่ยังมีอาการ ???

จนสายวันหนึ่งคุณพยาบาลเดินมาบอกว่า “คุณหมอให้คนไข้กลับบ้านได้แล้ว ไม่ได้เป็นอะไร” จำได้ว่าโกรธมาก ตอบไปว่า “ไม่กลับ ยังมีอาการอยู่เลย”  สักพักก็มีคนมาเข็นพาไปตรวจอีกที่หนึ่ง เค้าจับจอยตรวจหัวใจด้วยเตียงปรับระดับ (Tilt Table Test) เพื่อประเมินสาเหตุของภาวะเป็นลมหมดสติ แล้วหมอก็บอกว่าจอยเป็นโรควูบ หรือ Syncope ซึ่งเกิดจากระบบประสาทอัตโนมัติทำงานผิดปกติ เลยมีอาการคล้ายจะเป็นลมบ่อย ๆ  

ทานยาอยู่ 3 เดือน ไม่ดีขึ้น

จอยยังคงมีอาการเวลาออกไปข้างนอกที่คนเยอะ ๆ ต้องให้แม่ไปเป็นเพื่อน จำได้ว่านอนหมดแรง หายใจพะงาบ ๆ บนโซฟา ทำอะไรไม่ได้ แล้วจะกลับไปเมกาได้มั้ย ?? จนญาติบอกว่าทำไมไม่ไปหาหมอที่ครอบครัวเราหาประจำเพื่อขอความคิดเห็นที่สองดู

คุณหมอให้แอดมิทนอนดูอาการ จำได้ว่ากลางคืนพยาบาลให้ยาแต่ก็ไม่ได้ถามอะไร ตอนเช้าคุณหมอมาเยี่ยมถามว่าเป็นงัยบ้าง จอยก็ตอบหมอว่า “ไม่มีอาการเลยเช้านี้ แปลกดี ปกติเป็นทุกเช้าเลย” สาย ๆ ถูกเข็นไปหาหมอข้างล่าง จำได้ว่าเล่าออาการให้หมอฟัง หมอคนนี้เข้าใจทุกอย่างดีหมดเลย จนจอยต้องถามหมอว่า “ทำไมคุณหมอรู้ล่ะค่ะ” คุณหมอตอบว่า “คนไข้ผมก็เป็นอย่างนี้ทุกคน” คุณหมออธิบายว่าคนเรามีแก้วบรรจุความเครียด และต้องมีพื้นที่เหลือไว้สำหรับความเครียดที่ไม่คาดคิดจากเหตุการณ์ต่าง ๆ เช่น โควิดในยุคนี้มั้ง แต่แก้วของจอยนะระดับความเครียดมันล้น เลยแสดงอาการประหลาด ๆ ออกมาอย่างที่เป็น สรุปว่าจอยเป็นโรควิตกกังวล บวก ซึมเศร้า ที่กลายเป็น แพนิค หรือ Panic Disorder

จอยดีใจที่คุณหมอคนนี้เข้าใจจอย และได้ชื่อโรคใหม่ที่ดูสั้นกว่าโรคหัวใจ พออกจากห้องตรวจเลยถามพยาบาลหน้าห้องว่าคุณหมอเป็นหมอด้านอะไรค้า พยาบาลตอบว่า “จิตแพทย์” ค่ะ

เมื่อได้รับการวินิจฉัยถูกต้อง รักษาถูกทาง อาการก็ดีขึ้น

จอยดีขึ้น และได้มีโอกาสพบคุณหมออายุรกรรมที่ส่งจอยไปพบจิตแพทย์เลยถามว่าทำไมคุณหมอถึงรู้ว่าจอยไม่ได้เป็นโรคหัวใจ คุณหมอตอบว่า “เพราะคนไข้ยังอายุน้อย และผลตรวจอื่น ๆ ปกติทุกอย่าง” จอยมาทราบทีหลังว่าคืนนั้นคุณหมอให้จอยทานยาคลายกังวล ตอนเช้าพอจอยไม่มีอาการ คุณหมอก็คงจะรู้ว่ามาถูกทาง เลยส่งไปพบจิตแพทย์ เพราะอาการแพนิคนั้น ร่างกายทำงานปกติ ตรวจอะไรก็ปกติ แต่อาการที่เกิดขึ้นนั้นเกิดขึ้นจริง เพียงแต่เป็นความผิดปกติของการทำงานของระบบประสาทอัตโนมัติจากความเครียดที่มากเกินไป ไม่ได้มีอะไรผิดปกติเกี่ยวกับอวัยวะใด ๆ

จอยรักษาทานยาต่อเนื่อง สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ และกลับไปผจญภัยที่เมกาต่อ

ผ่านไปหลายปี จนในปี 2006 หรือ พ.ศ. 2549 แฟนจอยเสียชีวิตกะทันหัน จอยเริ่มมีอาการ จากนั้นจอยพบพระเจ้าและหายอย่างอัศจรรย์ ไม่ได้ทานยา และไม่มีอาการอีกเลย คำว่า แพนิค กังวล เหมือนจะหายไปจากชีวิต

ย้อนรอย ถอดบทเรียน

  • ขอบคุณนะแพนิคที่มาเตือน เป็น wake-up call

ด้วยความกลัวตาย จอยเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ที่ไม่ดีกับสุขภาพ เลิกทุกอย่าง เหล้า บุหรี่ กาแฟ หันมาสนใจดูแลสุขภาพ ออกกำลังกาย จนวันนี้สุขภาพจอยยังดีอยู่

  • ความเครียดสะสมและความเครียดต่อเนื่องส่งผลเสียกับเราเหมือนแก้วน้ำล้น
  • เราต้องมีทักษะจัดการความเครียดเกี่ยวกับงาน และวิธีจัดการอารมณ์
  • กำหนดขอบเขต (Boundary) ในชีวิตทำงาน รู้ว่า work load มากไปต้องทำอย่างไร
  • รู้จัก Say “No” เมื่องานมากเกินไป
  • ไม่ลากยาว ไม่กดดันตัวเอง อัดตารางงานแน่น
  • รู้จักหยุด พัก เพื่อชาร์จแบต จะได้ไม่แบตหมดกลางอากาศ
  • การเปลี่ยนแปลง ความไม่แน่นอน นำมาซึ่งความเครียดเสมอ ดูแลแก้วน้ำบรรจุความเครียดของเราไม่ให้ล้น

ด้วยรักและห่วงใย

จากใจ – จอย

ป.ล. อย่าลืมติดตาม แพนิคครั้งที่ 2

Leave a comment