EP 6: เมื่อแพนิคกลับมาเยือน ครั้งที่ 2

พ.ศ. 2560 อยู่ ๆ มีอาการแพนิค แรงมาก ตกใจ คราวนี้ถูกส่งตัวไปหาหมอ หู คอ จมูก ทานยาแต่อาการไม่ดีขึ้นเลยพาตัวเองไปหาคุณหมอจิตแพทย์ รับยารักษาแพนิค พร้อมตรวจสุขภาพให้แน่ใจว่าไม่ได้เป็นอะไรอย่างอื่น อาการดีขึ้น ก็รู้ว่ามาถูกทาง

ทำไม เกิดอะไรขึ้น???

พออาการดีขึ้น จอยก็เริ่มอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมกลับมาเป็นอีก และครั้งนี้สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นที่หัวจอยเวลามีอาการ

รู้สาเหตุ

อีกแล้วที่ระดับความเครียดล้นแก้ว

ตอนนั้นปัญหาความเครียดในชีวิตก็คือแม่ป่วยเดินไม่ได้ นอนเตียง จอยมีปัญหากับแม่ กังวลกลัวแม่จะเป็นอะไร มีปัญหาเรื่องคนดูแล พี่ที่รู้จักบอกว่าการเป็น Caregiver หรือดูแลคนป่วย คนสูงอายุ ดูแลเด็ก มีอาการแบบนี้กันทั้งนั้น ปกติ

เมื่อฉันตัดการสาเหตุความเครียดจากการดูแลแม่ จากความสัมพันธ์ที่ไม่ดีกับแม่ได้ ด้วยการช่วยเหลือจากโค้ชผ่านกระบวนการ Coaching ที่บอกได้ว่าเห็นผล เพราะฉันต้องลุกขึ้นมารับผิดชอบ ถามตัวเองว่า จะมองอีกมุมได้มั้ย จะแปลความหมายใหม่ได้มั้ย เพื่อสร้าง Mindset ใหม่ ๆ ช่วยให้ฉันรู้วิธีรีเฟรมปรับมุมมองความคิด เมื่อฉันจัดการปัญหาที่เป็นสาเหตุสร้างความเครียดในชีวิต โดยเฉพาะความเครียดจากความสัมพันธ์กับแม่ และความสัมพันธ์กับตัวฉันเองได้ ทำให้ฉันหายเร็วกว่าที่คิดมาก และทำให้รู้จักตัวเองมากขึ้น ทุกวันนี้ฉันต้องขอบคุณโค้ชของฉันมากที่ช่วยให้ฉันได้พัฒนาทักษะที่ยังนำมาใช้เวลามีปัญหา ลดความเครียด ความกังวลในชีวิตได้ ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นภาวะแพนิค

ปมความขัดแย้งในใจ และ “มันเป็นภาวะ”

ตอนที่เป็นครั้งแรก จอยทานยาอย่างเดียว ไม่ค่อยได้เจอคุณหมอเพราะจอยอยู่เมกา ให้น้องรับยาและส่งให้

ครั้งนี้จอยได้พูดคุยกับคุณหมอจิตแพทย์ ที่จอยเรียกว่า “นางฟ้าใจดี” ของจอย เพราะพูดอะไรคุณหมอรับฟัง เข้าใจทุกอย่าง วันหนึ่งระหว่างคุยกับคุณหมอจิตแพทย์ที่น่ารัก “จอยอยากหาย ต้องทำยังไงบ้างค่ะ” จอยจะเป็นเด็กดี เชื่อฟัง ทำตาม… คุณหมอฟังอยู่นานจนสุดท้ายพูดนุ่ม ๆ ว่า “มันเป็นภาวะค่ะ” ฟังแล้วดีต่อใจ

ปัญหาภาวะอารมณ์เกิดขึ้นได้กับทุกคน

ในบางช่วงของชีวิต ขึ้นอยู่กับว่าชีวิตเราเป็นอย่างไร

จากวันนั้นทำให้ฉันรู้ว่าการที่ฉันไม่ชอบเลยที่เป็นแบบนี้ ไม่ชอบเวลาที่วิตกกังวล เครียด ท่วมท้น กลายเป็นความขัดแย้งในใจที่สร้างแรงกดดันให้ตัวเอง เสียงที่ตำหนิ โทษตัวเองว่าเพราะฉันเป็นแบบนี้ …. ฉันเลยกลับมาเป็นแพนิคอีก

เมื่อฉันรู้สึกแย่ ฉันก็จะคิดแย่ ๆ 

มองตัวเอง มองโลกรอบตัว ผ่านเลนส์สีดำ

แล้วก็จบลงที่ท่วมท้น รู้สึกแย่กว่าเดิม

วันนั้นการพูดคุยกับคุณหมอช่วยคลายความขัดแย้งในใจ ที่ ทำให้ฉันรู้สึกโล่งใจ ลดแรงกดดันตัวเอง ไม่พยายามเกินไปที่จะรีบหายดี เพราะไม่ชอบตัวเองเลยที่เป็นแบบนี้

จากวันนั้นฉันกลับดีขึ้นเองเรื่อย ๆ อย่างน่าแปลกใจ

ก่อนจากกัน คุณหมอบอกว่าฝากดูแลเด็กน้อยคนนั้นในใจฉันด้วยนะ

ภายในเวลาไม่ถึง 2 ปี ฉันก็หายดี และขอคุณหมอไม่ทานยา โดยคุณหมอแนะนำให้หมั่นฝึกเทคนิคผ่อนคลาย Body Scan บ่อย ๆ เพื่อรับมือกับอาการ

ย้อนรอย ถอดบทเรียน

  1. รักและใจดีกับตัวเอง กุญแจสู่การหายดี

บนเส้นทางการฟื้นฟูจิตใจ นั้นอาจยาวไกล มีขึ้นหรือลง หรือเจอทางเรียบ หรือเจอ U-turn อาจท้อใจได้ง่าย ๆ ถ้าไม่มีความรักเป็นพลัง

Love Heals!

ความรักทนได้ทุกอย่าง เชื่ออยู่เสมอ

มีความหวัง และ ความทรหดอดทนอยู่เสมอ

แพนิคครั้งที่ 2 สอนให้ฉันรู้จักรัก และยอมรับตัวเอง รวมทั้งอารมณ์และความรู้สึกของฉัน แทนการปฏิเสธ ไม่ชอบตัวเอง ไม่ชอบเวลาที่มีอารมณ์ด้านลบ

ฉันเรียนรู้ที่จะเห็นอกเห็นใจตัวเอง ปลอบโยน ผ่อนคลายความสับสนวุ่นวายใจ และให้กำลังใจตัวเอง บนเส้นทางนี้ แทนการตัดสิน กล่าวโทษ

2. แพทเทิร์นที่สร้างความกดดัน ความเครียดให้ตัวเอง หากไม่ปรับเปลี่ยนก็มีโอกาสที่จะกลับสู่ภาวะนี้ได้อีก

จอยเป็นพวก Type A ชอบทำ และรู้สึกดีเมื่อทำงาน และเป็นพวก Perfectionism ภายใต้ความเครียดและความกดดัน สไตล์การตอบสนองต่อความเครียดของคนประเภทนี้คือทำมากขึ้น ทำนานขึ้น และชอบทำให้เสร็จไม่งั้นจะไม่สบายใจ

มิน่าล่ะจอยเลยมีแนวโน้มที่จะลากยาว ทำจนดึกให้เสร็จ ไม่งั้นจะเครียด กังวล

พอรู้แนวโน้มของตัวเอง จอยเริ่มปรับตัว เตือนตัวเองให้หยุดพักบ่อย ๆ ระหว่างทาง หาเวลา หยุดพัก หายใจ ผ่อนคลาย

วางแผนและ แบ่งงานออกเป็นย่อย ๆ ทีละส่วน ในแต่ละช่วงเวลา ไม่ให้ Overload เกินไปจะได้ไม่เครียดจนท่วมท้น ล้นแก้ว

3. เข้าใจเส้นทางการเยียวยาฟื้นฟู

ไม่มีการรักษาแบบ one-size- fits- all หรือวิธีเดียวเหมาะสำหรับทุกคน

เพราะเราแต่ละคนแตกต่างกัน เส้นทางการรักษาจะแตกต่างกันไปตามแต่ละคน

สาเหตุ ปัจจัย สถานการณ์ที่ทำให้เกิดความเครียด ก็แตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล

อย่าสรุปฟันธงว่า ทำแบบนี้สิ รับรองหายชัวร์ ไปนั่งสมาธิสิ สวดมนต์ ปล่อยวางสิ

จอยเองก็ทำมาหลายวิธีมาก เหมือนกัน 555

สาเหตุ ปัจจัยที่ทำให้เกิดภาวะแพนิคของจอยครั้งที่ 1 จากงาน ส่วนครั้งที่ 2 ห่างกัน 9 ปี จากการดูแลแม่ที่ป่วยติดเตียง จากการลืมดูแลตัวเอง และภาวะอารมณ์ที่ท่วมท้น

จากวันนั้นถึงวันนี้ พอจะบอกได้ว่าการรักษาแบบผสมผสานเป็นแนวทางที่ดี  และคุณต้องค้นหาเส้นทางการรักษาเฉพาะบุคคล ที่เหมาะกับคุณ ที่ดีที่สุดสำหรับคุณเท่านั้น

4. ตัวต่อที่หายไป จากสมองสู่หัวใจ

เรามักจะคิดว่า เปลี่ยนความคิด พลิกชีวิต แต่ชีวิตนั้นมีหลายด้าน และหลายมุม จอยเองก็เริ่มจากสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับสมองของจอย จนมาพบตัวต่อสำคัญที่หายไป หัวใจและความรู้สึก เรียกว่าการเดินทางที่ยาวไกลที่สุดคือจากหัวสู่หัวใจ นั่นแหละใช่เลย

“I think I have a mood disorder.

But it turns out that

My mood matters.” — Joy

ฉันคิดว่าฉันมีปัญหาอารมณ์

แต่กลายเป็นว่า

อารมณ์ของฉันสำคัญนะ

จอย

ความเครียดทางอารมณ์ Emotional Stress และผลเสียจากการเก็บกดอารมณ์

อารมณ์ที่ไม่ได้แสดงออกมาจะถูกเก็บ กดไว้ลึกจนกลายเป็นซึมลึก ซึมเศร้า เฉยชา ไร้ความรู้สึก

การแสดงอารมณ์ออกมานั้นเป็นผลดีกับคุณมากกว่าผลเสีย

มาอนุญาตให้ตัวเองได้แสดงอารมณ์ออกมากันเถอะ

ครั้งนี้ฉันเรียนรู้ที่จะอนุญาตให้ตัวเองได้แสดงอารมณ์ ความรู้สึกออกมาแทนการเก็บไว้ ฉันเริ่มสนใจอารมณ์ ความรู้สึกและหัวใจของฉันมากขึ้น และฝึกทักษะในการแสดงความรู้สึกที่ฉันขอเรียกว่า “ย่อยอารมณ์” มาเบิร์นแคลอรี่อารมณ์กันเถอะ จะได้ไม่สะสมจนท่วมท้น ล้นแก้ว

เมื่อฉันจัดการภาวะอารมณ์ เข้าใจ ยอมรับฟัง และย่อยอารมณ์ เปิดโอกาสให้แสดงออกมา ระบายออกมาอย่างสร้างสรรค์ ช่วยลดระดับความเครียดทางอารมณ์ที่ท่วมท้นล้นแก้ว จนแสดงเป็นอาการทางกายออกมา

อย่าลืมติดตาม ตอนต่อไป แพนิคกับโควิด

ด้วยรักและห่วงใย

จากใจ

จอย

Leave a comment