เกิดและโตในบ้านของพ่อฉัน
ซีรียส์นี้เป็นเรื่องราวการเดินทางเมื่อฉันกลับบ้านมาอยู่กับ “พ่อของฉัน” ไม่ใช่แค่ พระเจ้า พระเจ้าพระบิดา แต่เติบโตและเลี้ยงดูในบ้านของพ่อฉัน
“บ้านเป็นสัญลักษณ์ความอบอุ่น ความมั่นคง ปลอดภัย การพักผ่อน ใครบางคนเคยกล่าวว่าบ้านเป็นที่ซึ่งต้อนรับคุณเสมอ”
บ้านที่คุณเติบโตมาในวัยเด็กเป็นอย่างไร?
ที่บ้านของคุณ ความรัก มีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร?
- พ่อแม่ของคุณแสดงความรักต่อกันอย่างไร จับมือ จูงมือ กอด?
- พ่อแม่ของคุณแสดงความรักและความสนิทสนมรักใคร่ เอ็นดู ชื่นชอบต่อคุณอย่างไร พ่อแม่หอมแก้ม กอดคุณหรือไม่?
- คุณรู้สึกว่าเป็นที่รักและยอมรับจากพ่อแม่ของคุณหรือไม่?
- ในบ้านของคุณ พูดคุยกันเรื่องอะไรบ้าง ใครเป็นคนพูดเป็นส่วนใหญ่ ใครที่ไม่ค่อยพูด
เมื่อลูกนกบินกลับรังสู่อกพ่อ
ฉันจำได้ว่าเคยฟังเรื่องเล่านี้มา มีลูกนกอินทรีย์ตัวหนึ่งถูกเลี้ยงอยู่ในกรงขังจนโต วันหนึ่งถูกปล่อยให้มีอิสรภาพ แต่กลายเป็นว่านกอินทรีย์ตัวนี้ไม่รู้ว่าจะใช้ชีวิตอย่างไร บินไม่เป็น เพราะไม่มีรูปแบบให้เห็นว่าจะต้องใช้ชีวิตอย่างไรในโลกกว้าง
อิสรภาพนั้นหอมหวาน แต่ก็กว้างมากจนเหมือนเด็กน้อยหลงทาง พลัดจากอกพ่อ
ในจิตวิญญาณของลูกน้อย ที่เพิ่งจะพูดคำว่า “พ่อจ๋า” พระองค์เป็นพ่อของหนูจริง ๆ ได้เป็นครั้งแรก
แต่ฉันกลับรู้สึกเหมือนนกอินทรีย์ตัวนั้น ไม่รู้เลยว่าจะเดินอย่างไรแบบพ่อกับลูกเพราะไม่มีตัวอย่างให้เห็นเป็นแบบอย่าง ไม่มีข้อมูลอ้างอิง
ฉันเกือบจะกลับไปทำสิ่งเดิม ๆ ที่เคยรู้มา ที่เคยถูกสอน และได้ยินมา ทั้งที่ลึก ๆ รู้ว่าไม่ใช่อีกต่อไป เพียงเพราะว่าไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไป ในช่วง การเปลี่ยนผ่าน หรือ transition
สมัยทำงาน เคยเจอช่วงเปลี่ยนผ่าน คือเปลี่ยนจากเก่าไปใหม่ ต้องหยุดทำงานหรือหน้าที่เดิมที่ทำอยู่ประจำ แล้วเริ่มเรียนรู้งานใหม่ที่จะต้องทำ
เช่นกัน วิธีการเลี้ยงของพ่อและกฎระเบียบในบ้านของพ่อนั้นแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากที่เคยได้ยินมา ถูกสอนมาจากที่บ้าน ที่โรงเรียน หรือจากที่ไหน ๆ หรือสื่อไหน ๆ
เป็นความสัมพันธ์ในรูปแบบใหม่ เป็นบรรยากาศการเลี้ยงดูที่แตกต่างจากที่ฉันเคยชินและโตมา พ่อจ๋าอบรมเลี้ยงดู ฝึกสอนด้วยความรัก ความอดทน ใจดี ใจเย็น แบบใน 1 โครินธ์ 13 จริง ๆ
เหมือนเปลี่ยนจากยุค “เก่า” เป็น “ใหม่” เลย
เป็นอะไรที่ใหม่ สด วันต่อวัน จริง ๆ และสนุก น่าทึ่ง
New Home & New Culture of Love
กฎใหม่ ในบ้านของพ่อฉัน
จำได้ว่าหลังจากไปงานสัมมนา “หัวใจพระบิดา” หลายคนมักจะมีคำถามมากมายว่า แล้วต่อจากนี้ไปจะต้องทำอะไร อย่างไรดี วิทยากรท่านหนึ่งให้คำแนะนำว่า “ถามพ่อของเธอดูสิ” สั้น ๆ แค่นั้น
ช่างเป็นคำแนะนำที่ดีจริง ๆ
ดีกว่าที่จะบอกเด็กน้อยว่า “หนูต้องอ่านพระคำ ฟังคำสอน นมัสการ เฝ้าเดี่ยว อธิษฐาน อดอาหาร และอื่น ๆ อีกมากมาย” หรือยื่นหนังสือให้อ่าน ซีดีให้ฟัง เหมือนที่เคยได้ยินและทำตามต่อ ๆ กันมา
และนั่นคือสิ่งแรกที่ ”พ่อจ๋า” เริ่มสอน และฝึกฝนลูกน้อยของพ่อใหม่
ฉันค้นพบว่า “ในบ้านของพ่อฉัน” นั้น เป็นพื้นที่ปลอดภัย อบอุ่นน่าอยู่ในบรรยากาศของความรัก เป็นบ้านที่ไม่ได้มีกฎระเบียบ เข้มงวด มีข้อห้าม และสิ่งที่ควรทำ ไม่ควรทำมากมาย อย่างที่คุ้นชินตั้งแต่เด็กจนติดนิสัยและทำแบบนั้นมากับตัวเองโดยไม่รู้ตัว และทำกับคนอื่นด้วยเช่นกัน (โดยไม่รู้ตัว) จนฉันกลายเป็นคนที่ต้องทำอะไรให้ถูกต้อง สมบูรณ์แบบ ที่เรียกว่า perfectionist ทั้งในการทำงานและชีวิตส่วนตัว
กฎใหม่ ข้อที่ 1: อนุญาตให้ถามได้

พ่อจ๋าสอนให้ฉันกลับมาเป็นเด็กเล็ก ๆ ช่างสงสัย สำรวจ ค้นหา ทดลอง กล้าลอง กล้าถาม
กล้าที่จะตั้งคำถามกับสิ่งเดิม ๆ ที่คุ้นชิน ที่เคยได้ยิน เคยถูกสอนสั่งต่อ ๆ กันมาจากบ้าน โรงเรียน สังคม
ตอนแรกฉันก็ไม่รู้ว่าจะถามอะไร จำได้ว่าตอนเด็ก ๆ เวลาครูอาจารย์ถามว่ามีคำถามอะไรบ้าง ฉันจะก้มหน้า ไม่กล้าถาม และที่สำคัญ สมองมันตื้อ คิดอะไรไม่ออกจริง ๆ
บางทีในวัยเด็ก คุณไม่เคยถูกอนุญาตให้ถามคำถาม สงสัย ไม่เคยได้ยินคำอธิบายให้เข้าใจ
คุณจึงเรียนรู้ที่จะเงียบ กลัวถูกดุ กลัวว่าจะถามอะไรที่ดูโง่ ๆ ไม่เข้าท่าออกไปแบบฉัน
ข่าวดี คุณสามารถเรียนรู้ใหม่ได้!
กฎใหม่ ข้อที่ 2: กล้าลอง ไม่กลัวผิด (พลาด)

พ่อจ๋าอนุญาตให้ฉันกล้าลองสิ่งใหม่ ๆ แปลก ๆ และทดลองดูว่า ใช่ ไม่ใช่ เป็นการเรียนรู้ตามธรรมชาติของเด็ก ๆ แบบที่พ่อสร้างมา ทำผิดได้ ไม่เป็นไรนะ จะได้เรียนรู้ เป็นพ่อที่ใจดี ใจกว้าง โอบกอดได้แม้แต่ความผิดพลาดแบบใน “บุตรน้อยหลงหาย”
พ่อจ๋าอนุญาตให้ฉันกล้าออกจาก “เรือ” หรือ comfort zone สิ่งเดิม ๆ ที่คุ้นชิน เพื่อที่จะออกสำรวจ ค้นหา เรียนรู้ วิธีใหม่ ๆ มุมมองใหม่ ๆ เรียกว่าปลุกจิตวิญญาณที่หายไปของฉันให้กลับมาอยากผจญภัย เดินบนน้ำ โต้คลื่นกับพ่ออีกครั้ง
และพ่อจ๋าตอกย้ำให้ฉันแน่ใจว่ามันโอเค และปลอดภัย เพราะพ่อจ๋าอยู่กับฉัน คอยเฝ้ามองฉัน คอยแนะนำ ช่วยเหลือ ซัพพอร์ตฉันอยู่เสมอ
เรียนนอกห้องเรียนกับพ่อ

เราโตมาในวัฒนธรรมที่สอนให้เราอ่านแบบท่องจำ เรียนในห้องเรียนมากกว่าจากการเรียนรู้แบบลงมือทำ หรือคิดวิเคราะห์ คิดตั้งคำถาม
เรามักจะได้ยินว่าฟังคำสอน คำเทศน์จากอาจารย์ จากในคริสตจักร จากงานสัมมนา ฟื้นฟู ในรูปแบบนั้น ซึ่งชีวิตคริสเตียนช่วงหลังของฉันก็กลายเป็นแบบนั้นแหละ ไปทุกงานสัมมนา อบรม รวมทั้งคำสอนออนไลน์ที่เข้าถึงได้ทุกที่ทุกเวลา 555
จนกลายเป็นว่าเราให้ความสำคัญกับการเรียนรู้ในบริบทและรูปแบบนั้นมากกว่า
มากกว่าที่จะเรียนรู้จากพ่อ จากปากจริง ๆ ของพ่อ พ่อที่ยังมีชีวิตอยู่และอยู่กับเราเสมอ
เราอ่านพระคัมภีร์ซึ่งใครเคยกล่าวว่าเหมือนอ่านจดหมายรักที่พ่อเขียนทิ้งไว้ให้ลูก แล้วจากโลกนี้ไป ให้เราอ่านต่างหน้า ราวกับว่าพ่อไม่ได้อยู่กับเราจริง ๆ หรือพ่ออยู่ไกลมาก เข้าถึงยาก กว่าจะได้เจอหน้ากันต้องทำอะไรหลายอย่างมาก
มากกว่าที่จะให้ตัวเองได้เรียนรู้ ค้นหา ค้นพบ สำรวจด้วยตนเองแบบเด็กเล็ก ๆ ที่สนใจใคร่รู้
พ่อจ๋าอนุญาตให้ฉันเรียนแบบนอกห้องเรียน เรียนในบริบทต่าง ๆของชีวิตจริง จากชีวิตประจำวัน เรียนรู้จากทุกสิ่งได้รอบตัวจริง ๆ กับพ่อ แบบเด็กเล็ก ๆ เลย เรียกว่าเดินจูงมือกับพ่อก็ว่าได้ เป็นการเรียนรู้สิ่งที่ practical ในชีวิตจริง ๆ รวมทั้งเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ ที่จำเป็นในการเติบโต พัฒนา
เรียน (เลียน) แบบเด็กเล็ก ๆ
เด็ก ๆ เรียนรู้จากพ่อแม่ จากการเห็น ได้ยินและทำตามแบบที่พระเยซูบอกเลยว่าให้กลายเป็นเด็กเล็ก ๆ และ พระเยซูก็บอกอีกเหมือนกันว่า พระองคฺทำตามที่เห็นและได้ยินพระบิดา อ๋อ เป็นแบบนี้เอง เพราะเด็กเล็ก ๆ มักจะเลียนแบบพ่อแม่เสมอ
มาเลียนแบบเด็กเล็ก ๆ กันเถอะ

ลองมาเป็นเด็กน้อย ช่างสงสัย อยากสำรวจ อยากเรียนรู้ กันเถอะ
ฝึกถามเยอะ ๆ แบบเด็กน้อย นี่อะไร ทำไม
พ่อจ๋า ถ้าหนูเป็นสัตว์ พ่อคิดว่าหนูเป็นตัวอะไร
พ่อจ๋า พ่อชอบอะไรมากที่สุดในตัวหนู
พ่อจ๋า หนูอยากจะลองทำ…..พ่อว่างัย
พ่อจ๋า เรื่องนี้ หนูคิดว่า….. พ่อว่างัย
พ่อจ๋า คนนี้ คนนู้นเค้าบอกว่า…. แล้วพ่อว่างัยค้า
เปิดโอกาสให้ตัวเอง เปิดใจ เปิดมุมมอง ที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ วิธีการใหม่ ๆ
และลองทำอะไรใหม่ ๆ รวมทั้งวิธีใหม่ ๆ ในการสร้างความสัมพันธ์กับพระเจ้าแบบพ่อ-ลูก