สัมผัสความรัก การเลี้ยงดูแบบครอบครัวจากหัวใจของความเป็นแม่ของพระเจ้า
ในช่วงวันแม่ นอกจากจะฉลองวันแม่ให้กับแม่ของฉันแล้ว ฉันมักจะนึกถึง Mothering Love of God กับเส้นทางแห่งความรักที่พระเจ้าพาฉันมาไกล จนวันนี้ฉันรักแม่ของฉันได้มากขึ้นจากใจจริง ไม่ใช่แค่เพียงจากหน้าที่ที่ถูกสอนมาให้รัก เคารพ ดูแลพ่อแม่ ไม่งั้นบาป หรือ ไม่กตัญญู
วันแม่เป็นอีกวันที่ทำให้ฉันตระหนักถึงความสำคัญของครอบครัว การเลี้ยงดู และตระหนักถึงผลเสียหายที่ตามมาหากไม่ได้รับความรัก ความอบอุ่นในครอบครัวในวัยเด็ก และนึกถึงสิ่งที่หัวใจฉันโหยหา ตามหามานาน โดยไม่รู้ว่ามันคืออะไร
หัวใจฉันมีรู ว่างเปล่า

“Hole Hearted” เพลงโปรดของฉัน บอกเล่าเรื่องราวชีวิตฉันได้โดนใจ หัวใจฉันมีรู และไม่เคยมีอะไรเติมให้เต็มได้ และความว่างเปล่า อ้างว้าง เดียวดาย เป็น deep loneliness ที่รู้สึกตั้งแต่เด็ก และไม่เคยเข้าใจว่าทำไม และมันน่าเจ็บปวด
ในวัยเด็ก ฉันคิดว่าเมื่อฉันเจอใครสักคนที่ใช่ คนนั้นจะเติมเต็มหัวใจฉันแบบในหนัง Hollywood ที่ฉันหลงรัก “You completed me”
หนังสือ The Missing Piece เป็นอีกภาพที่บรรยายสภาพหัวใจ และความรู้สึกของฉันมาตลอดกับการเดินทางตามล่าหาชิ้นส่วนที่จะมาเติมเต็มหัวใจฉัน ฉันใช้เวลานานเกือบ 50 ปี กว่าจะเจอชิ้นส่วนนั้น และไม่อยากให้คุณต้องใช้เวลานานแบบนั้น ไม่อยากให้คุณต้องดิ้นรน พยายามอย่างหนักเหมือนฉัน เพื่อที่จะไขว่คว้า ไล่ล่าความสุขในใจจากภายนอกที่ไม่เคยเติมเต็ม
เมื่อฉันเจอชิ้นส่วนที่หายไปของฉัน
หลายปีก่อน ฉันได้มีโอกาสรู้ว่า อะไรที่ทำให้ฉันรู้สึกเช่นนั้น จำได้ว่าในสัมมนาหัวใจพระบิดา หรือ Father’s Heart มีการสอนถึงความรักของพระเจ้าแบบแม่รักลูก Mother Heart of God (ที่สอนโดย Dennis Jordan) วิทยากรอธิบายให้เข้าใจถึงความรักของแม่แบบสตอร์เก (Storge Love) หรือความรักความผูกพันที่จะช่วยสร้างฐานรองรับแบบภาชนะที่เราจะเก็บความรักนั้นไว้ได้ และรักนั้นจะถูกบ่มเพาะเติบโตในหัวใจของเด็กน้อยจนถึงวัยโต
ฉันฟังแล้วชวนให้นึกถึงสภาพหัวใจมีรูของตัวเอง เพราะไม่มีความรักที่จะสร้างฐานรองรับ ไม่มีความรักมาเติมเต็มหัวใจ จึงรู้สึกว่างเปล่า และฉันก็เป็นเด็กคนนั้นที่โตมาแบบนั้นเอง และทำหลายอย่างเพื่อที่จะเติมเต็มหัวใจ แต่ไม่เคยมีอะไรเติมเต็มได้นาน มีความสุขเพียงชั่วแวบ แล้วก็วิ่งตามหาความสุข ความพอใจอีกต่อไปเรื่อย ๆ จนเหนื่อย
เด็กที่ขาดการเลี้ยงดูด้วยความรัก ความใส่ใจ ความอบอุ่นจากแม่ ไม่ได้เชื่อมสายสัมพันธ์ผูกพันกับแม่ก็จะมองหาจากที่อื่นเพื่อเติมเต็มส่วนที่ขาด เติมเต็มช่องว่างหรือความรู้สึกว่างเปล่าในหัวใจด้วยการแสวงหาความรัก ความพึงพอใจจากที่อื่น จากเพื่อน เพศตรงข้าม แม้แต่เพศเดียวกัน จากเกม มือถือ ช้อปปิ้ง งาน ความสำเร็จ เงินทอง หรือแม้แต่จากการกิน แบบที่เรียกอาหารบางอย่างว่า Comfort Food เพื่อให้ได้ความรู้สึกพึงพอใจ อิ่มใจ
นั่นคือวิธีที่ฉันและผู้คนมากมายต่างพยายามเติมเต็ม แต่น่าเศร้าที่มันไม่เคยเติมเต็มได้จริงและนานพอ
สิ่งที่หัวใจและจิตวิญญาณของฉันและคุณโหยหานั้นอยู่ที่อ้อมกอดแม่ ความรัก การดูแลเอาใจใส่ความสนิทสนมใกล้ชิดกับแม่จะให้ความรู้สึกพึงใจและเติมเต็มหัวใจของคุณได้จริง ๆ จากภายใน
การเลี้ยงดูของแม่ในพระคำ สดุดี 131: 2-3

อ้อมกอดของแม่เป็นที่ที่สร้างความรู้สึกปลอดภัย มั่นคงให้เด็กน้อย สัมผัสรักจากความใกล้ชิดกับแม่สร้างความอบอุ่นใจ ทำให้ร่างกาย สภาวะจิตใจภายใน และระบบสมองและประสาทอัตโนมัติของเด็กน้อยอยู่ในสภาวะสงบ (calm) นิ่ง (quiet) ซึ่งตรงข้ามกับภาวะกระวนกระวาย อยู่ไม่นิ่ง เด็กน้อยจะรู้สึกผ่อนคลาย แฮปปี้ พึงพอใจ อิ่มใจ สุขใจ และรู้สึกเติมเต็ม (Content & Satisfied)
เพราะแม่ไม่ได้แค่เลี้ยงเราด้วยนมจากเต้า หรือแค่เลี้ยงดูทางกายภาพ แต่แม่ยังเลี้ยงดูเราด้วยความรัก ความอบอุ่น สัมผัสจากอ้อมกอด อ้อมอกแม่ให้ไออุ่น ทำให้เด็ก ๆ สงบ นิ่ง และสายตาของแม่ที่มองลูกอย่างรักใคร่ เสียงร้องเพลงกล่อม ปลอบประโลมใจ พูดคุย หยอกล้อ ช่วยสร้างความผูกพันในหัวใจ ความรู้สึกปลอดภัย ความไว้วางใจ
ในทางจิตวิทยา อธิบายไว้ว่าเด็กที่ได้รับการเลี้ยงดูแบบนี้จากแม่ พอโตมาก็จะมีความพึงพอใจในความสัมพันธ์ ไว้วางใจในความสัมพันธ์ สามารถมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดและเชื่อมต่อทางอารมณ์กับคนอื่นได้ เห็นคุณค่าในตนเอง มีความมั่นคงทางอารมณ์ ส่วนศาสตร์ด้านสมองและระบบประสาท Neuroscience พบว่าเด็ก ๆ ที่โตมาด้วยความรักใกล้ชิดจากแม่จะมีพัฒนาการด้านสมองและอารมณ์ที่ดี รวมทั้งระบบประสาทอัตโนมัติที่ผ่อนคลาย
เกิดอะไรขึ้น เมื่อขาดการเลี้ยงดูที่อบอุ่น
ไม่ไว้ใจใครง่าย ๆ ยากที่จะวางใจพระเจ้า
ตรงกันข้ามหากเด็กไม่ได้รับความอบอุ่น ถูกปฏิเสธ ถูกทอดทิ้ง ละเลยจากผู้เลี้ยงดู เด็กจะเรียนรู้ว่า คนอื่นไม่น่าไว้วางใจ ทำให้ยากที่จะไว้ใจคนอื่น รวมทั้งพระเจ้าด้วย เพราะเราเรียนรู้ที่จะไว้วางใจที่อกแม่ (สดุดี 22:9)
ไม่เห็นคุณค่าในตนเอง ไม่คู่ควรกับสิ่งดี ๆ
ความรักและการเลี้ยงดูจากแม่ (และจากพ่อ) ทำให้เด็ก ๆ เรียนรู้ว่าเป็นคนสำคัญ มีคุณค่า เป็นที่รัก
หากไม่ได้รับการเลี้ยงดูจากแม่ เด็กน้อยจะมองตนเองว่าไร้คุณค่าแก่การใส่ใจ ดูแล ไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่ต้องการ และไม่คู่ควรกับสิ่งดี ๆ ความรู้สึกและความเชื่อเช่นนี้จะฝังลึกในใจ โดยไม่รู้ตัว และส่งผลต่อความสัมพันธ์ และบุคลิกภาพจนถึงวัยผู้ใหญ่
เมื่อไม่มีใครยืนยันถึงตัวตน คุณค่า ความสำคัญของเด็กน้อย เด็กน้อยจึงพยายาม ทำทุกอย่างเพื่อยืนยัน พิสูจน์ ว่าดีพอ มีคุณค่าพอ มีความสำคัญพอ จากสิ่งที่ทำ จากงาน ความสำเร็จ จากสิ่งของภายนอก
บุคลิกแข็งแกร่ง ไม่พึ่งใคร ไม่ไว้ใจใคร
หากขาดการเลี้ยงดูแบบใส่ใจ เด็กๆ ก็จะเรียนรู้ที่จะเอาตัวรอดด้วยตัวเอง โตเร็วเกินวัย ไม่ต้องการพึ่งพิงใครภายนอก “ฉันไม่แคร์ ฉันโอเค ไม่เป็นไร” ทำตัวเข้มแข็ง ไม่ต้องการใคร ดูแลตัวเอง พึ่งพาตัวเองได้ นั่นคือวิธีที่เด็กคนนั้นโตมาและสร้างบุคลิกหญิงแกร่ง ห้าว อึดถึกของฉัน แต่ภายในลึก ๆ นั้นฉันโหยหาต้องการความรักเสมอ แต่ก็กลัวความรัก ความใกล้ชิดเช่นกัน
ไม่สามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับคนอื่นได้ รวมทั้งกับพระเจ้า
แม้ต้องการความรัก แต่ไม่กล้าเปิดใจให้ใคร ไม่รู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม ไม่อยากสร้างความสัมพันธ์กับใคร เพราะกลัวการถูกปฏิเสธ กลัวถูกทอดทิ้ง กลัวความเจ็บปวด
กลัวไม่เป็นที่รัก เป็นที่พอใจ
จึงพยายามทำทุกสิ่ง เพื่อทำให้คนอื่นพอใจ ถูกใจ เพื่อที่จะได้รู้สึกปลอดภัย มักจะใส่ใจดูแลคนอื่น แต่มองข้ามความต้องการของตัวเอง และเรียนรู้ที่จะทำทุกอย่างเพื่อให้ผู้อื่นพอใจ แต่ไม่เคยรู้สึกพอใจจากภายใน เพราะความรู้สึกพึงพอใจนั้นมาจากวัยเด็กที่เรียนรู้ว่าตนเป็นที่รัก พอใจ ชอบใจ ของพ่อแม่
ขาดความผูกพันทางอารมณ์ ขาดความสนิทสนม
เด็กที่โตมาแบบถูกปล่อยให้เล่นคนเดียว หรือยุคนี้ปล่อยให้เล่นกับมือถือ หรือ iPad รวมทั้งพ่อแม่ที่เล่นกับลูกไม่เป็น เลี้ยงดูแต่ทางกายภาพ ให้เงินและสิ่งของ แต่ไม่ได้สานสัมพันธ์ทางใจ หรือสร้าง Emotional Connection ทำให้ขาดความผูกพันทางอารมณ์ (Emotional Intimacy) ขาดความใกล้ชิดทางใจ ไม่ได้เชื่อมโยงสัมพันธ์กันในระดับอารมณ์หรือความรู้สึก เหมือนอยู่ใกล้แต่มันรู้สึกไกลกัน ต่อไม่ติด เพราะหัวใจมันสื่อถึงกันไม่ได้ ไม่มีสายใยผูกพันกัน เป็นแค่ความสัมพันธ์แบบผิวเผิน คุยกันเรื่องงาน อากาศ กินข้าวยัง ทำการบ้านยัง เป็นงัยบ้าง โอเค ก็ดี
เด็ก ๆ จะรู้สึกไม่สนิทกับแม่และพ่อ ไม่รู้สึกสนิทพอที่จะเล่าปัญหา แสดงตัวตนที่แท้จริง เวลามีปัญหาจะหาเพื่อน
ฉันเองก็เป็นแบบนั้นกับพ่อแม่ พี่น้อง และคนอื่น เคยมีเพื่อนบอกว่าฉันมีกำแพงกั้นสูงที่ไม่ให้ใครเข้ามาใกล้เกินไป (เพราะฉันไม่รู้สึกปลอดภัย กลัวความเจ็บปวด) พอมารู้จักพระเจ้า ความสัมพันธ์ของฉันก็เป็นรูปแบบนั้น เพราะเป็นรูปแบบเดียวที่ฉันคุ้นชินและโตมา
เปิดหัวใจ สัมผัสความรักใคร่สนิทสนมและการเลี้ยงดูจากแม่ ที่หัวใจฉันโหยหา
วันนั้นที่ฉันได้ยินว่าพระเจ้านั้นรักฉันแบบแม่ และปรารถนาที่จะให้ความรักนี้ที่ฉันต้องการ แต่อาจไม่เคยได้รับ จะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ไม่ใช่ความผิดของแม่หรือของพ่อฉัน ท่านทั้งสองได้พยายามเต็มที่และทำดีที่สุดแล้ว
ฉันเพียงแต่เรียนรู้ว่า สิ่งที่ฉันเป็นรวมทั้งหลากหลายปัญหาในชีวิต ความรู้สึกโดดเดี่ยว ไม่เป็นที่รัก ไม่รู้สึก belong ไม่ใช่เพราะฉันไม่ดี หรือมีอะไรผิดปกติอย่างที่ฉันคิด
แต่พระเจ้าสอนให้ฉันเข้าใจใหม่ว่า เป็นเพราะฉันมีความต้องการที่ไม่เคยได้รับการตอบสนอง ฉันเพียงแต่ต้องการความรัก การเลี้ยงดูจากแม่ที่เรียกว่า Storge Love หรือความรักความใกล้ชิดสนิทสนมในครอบครัวที่หัวใจของฉันต้องการ ซึ่งเป็นความรักที่เลี้ยงดูทั้งกายและใจ (Nurture) ความรักที่เมตตา ใจดี ใจเย็น (Compassion) ความรักที่อ่อนโยน อบอุ่นใจ (Tenderness) ความรักที่ปลอบประโลมใจ ชูใจ (Comfort) รักนี้แหละที่จะเป็นรากฐานมั่นคงที่คอยซัพพอร์ต อุ้มชูให้คุณเติบโตและก้าวผ่านอุปสรรคชีวิตในยามทุกข์ยาก
และจากวันนั้น หัวใจฉันเปิดออกให้พระเจ้าเลี้ยงดูในฐานะแม่ และรับความรักที่ขาดหายไปในวัยเด็ก พระเจ้าเริ่มสอนให้ฉันเปิดหัวใจรับการเลี้ยงดูแบบแม่จากพระเจ้า รวมทั้งจากผู้หญิงอีกหลายคนที่พระเจ้าส่งมาให้เลี้ยงดูฉันแบบแม่จริง ๆ และอีกหลายหลายวิธีที่พระเจ้าเลี้ยงดูเด็กน้อยคนนั้นทุกช่วงวัย
ถึงตาของคุณแล้ว
หากคุณหากคุณไม่ได้โตมากับแม่ ไม่ได้ใกล้ชิดกับแม่ ไม่ได้รับการดูแล ใส่ใจ ไม่ได้รับซัพพอร์ตทางใจที่คุณต้องการ และคุณรู้สึกว่าขาดอะไรไป
หากคุณไม่เคยถูกกอด หอมแก้ม ลูบหัว นอนหนุนตักเล่นกับแม่ ไม่เคยถูกบอกรัก
หากเวลาคุณมีปัญหา เหนื่อย เสียใจ ร้องไห้ ไม่มีใครกอดและปลอบใจคุณ
อธิษฐานขอให้พระเจ้าสำแดงเปิดเผยความรักแบบแม่ของพระองค์ที่มีต่อคุณ
เปิดหัวใจรับประสบการณ์การเลี้ยงดูจากพระเจ้า สัมผัสความรักแบบแม่ที่พระเจ้าปรารถนาจะให้คุณ หัวใจของพระเจ้านั้นเป็นแม่ตัวจริง ตัว Mom เลย เปิดใจและยอมให้พระเจ้าเข้ามาในหัวใจส่วนลึกที่สุดของคุณ เปิดประตูใจส่วนนั้นให้ความรักแบบแม่ของพระเจ้าโอบกอดคุณแบบลูกน้อยแนบชิดใกล้อกแม่
Calm and Quiet Your Soul จากสดุดี 131: 1-2

ในอ้อมกอดของแม่ เด็ก ๆ จะรู้สึกปลอดภัย สงบ ผ่อนคลาย แฮปปี้ และพึงพอใจ
สภาวะจิตใจ ภายใน และร่างกายของเด็กน้อยจะรู้สึกสงบ (calm) นิ่ง (quiet)
รู้สึกพึงพอใจ อบอุ่นใจ อิ่มใจ สุขใจ และเติมเต็ม (Content & Satisfied)
นั่นคือภาพแห่งความรัก การเลี้ยงดูที่พระเจ้าปรารถนาจะเลี้ยงดูคุณด้วยความรักของแม่จากพระองค์
เด็ก ๆ ที่มีแม่อยู่ใกล้ชิดจะรับรู้ถึงการมีแม่อยู่ด้วยจริง ๆ จะไม่หวั่นไหวหรือกลัวง่าย แต่รู้สึกปลอดภัย จิตใจและจิตวิญญาณก็จะมีความสุข แฮปปี้ และร่างกายทุกส่วนก็จะรู้สึกปลอดภัย สงบ ผ่อนคลาย
ใช้เวลาเงียบ ๆ กับพระเจ้า
เริ่มต้นด้วยการหายใจเข้าทางจมูกช้า ๆ เหมือนสูดดมกลิ่นหอมของดอกไม้
แล้วหายใจออกทางปาก ช้า ๆ ยาว ๆ สักสองสามครั้ง
ช่วงเวลานี้ให้คุณวางหน้าที่ แบกภาระความรับผิดชอบ รายการสิ่งที่ต้องทำ ควรทำ อยากทำ มากมายใหญ่โตของคุณลงสักครู่ ละสายตา ละความคิดถึงสิ่งเหล่านั้นลงสักครู่ แบบที่ดาวิดทำ
มาหาพระเจ้าแบบด็กเล็ก ๆ
จินตนาการว่าคุณเป็นเด็กเล็ก ๆ ที่เหนื่อยล้าจากเรื่องยุ่ง ๆ มากมายในชีวิต
จินตนาการว่าพระเจ้าถามคุณด้วยความห่วงใยว่า “ เหนื่อยมั้ย ลูก (ใส่ชื่อคุณ)”
แล้วพระองค์ก็ลูบหัวคุณด้วยความเอ็นดู และบอกคุณว่า “พักสักครู่หน่อยลูก เดี๋ยวค่อยทำต่อ ไม่ต้องกังวลนะ”
แล้วพระเจ้าก็เอื้อมมือมากอดคุณ ด้วยความรักใคร่แบบแม่ที่รักลูก
แล้วพระองค์ก็ก้มมองคุณ สบตาคุณด้วยความรัก และยินดี
พระองค์พูดกับคุณด้วยความนุ่มนวล อ่อนโยน ว่า “ลูก (ใส่ชื่อของคุณ) ลูกรักของแม่ แม่รักหนูน่ะ แม่พึงพอใจ ภูมิใจในตัวหนูมากเลย หนูน่ารักมากเลยลูก”
ใช้เวลาตรงนี้ให้พระองค์โอบกอดคุณไว้ที่อกของพระองค์
เอามือวางที่หน้าอกของคุณ
หายใจเข้า ออก ช้า ๆ
พักนิ่งสงบ ในอ้อมกอดของพระองค์
เหมือนเด็กน้อยที่ดื่มนมจากอกแม่ แล้วหลับไปอย่างสุขใจ
ใช้เวลาอยู่ตรงนี้ นานเท่าที่คุณพอใจ